About

บัคฮา ดินแดนแห่งดอกไม้หลากสี



          การมาเที่ยวเวียดนามเหนือครั้งนี้หากไม่ได้เดินทางมาชมตลาดนัดวันอาทิตย์ของชาวม้งที่บัคฮา กับไปซาปาก็คงจะถือว่ามาไม่ถึงเวียดนามเหนือเป็นแน่ เราต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟประมาณสองทุ่มเพื่อรอเวลารอไฟออก ซึ่งถือว่ามีเวลาค่อนข้างน้อยในการเดินทางเพราะกว่าเราจะกลับมาจากแทมก็อกก็เกือบหนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว เราเลยต้องรีบกันพอสมควรเพราะการเดินทางในฮานอยก็คาดเดายากเพราะรถค่อนข้างเยอะมากในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อผมมาถึงสถานีรถไฟ แรกเห็นนึกว่าเรามาหัวลำโพงบ้านเราสมัยยังไม่ปรับปรุง รถไฟก็ยังเป็นแบบอนุรักษ์นิยมอยู่ ไม่เหมือนญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศสที่รถไฟเค้าเร่งความเร็วแข่งกับเสียงกันแล้ว แต่โซนเอเซียแบบบ้านเราก็ดีอย่างคือไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน แค่มาให้ถึงตรงเวลาพวกเราก็ดีใจแล้วครับ 
          ผมเดินทางมาบัคฮาด้วยรถไฟขบวนฟานซีปัน ซึ่งถือว่าเป็นรถไฟชั้น 1 ของที่นี่ ด้วยเตียงนอน 4 เตียงต่อ 1 ห้องค่อนข้างสบายทีเดียวแม้ว่าขนาดเตียงจะเล็กกว่าของบ้านเรา พวกเราจองไว้ทั้งหมด 3 ห้องติดกันพอจัดของเสร็จทุกคนก็มารวมกันอยู่ห้องเดียว ไม่รู้เข้าไปอยู่กันได้ยังไงห้องนิดเดียวแล้วแต่ละคนก็ตัวไม่ใช่เล็กกว่าจะแยกย้ายกันไปนอนก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว ในห้องมีน้ำขวด มีกล้วยหอม แล้วก็ขนมอีกนิดหน่อย นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ของเวียดนามที่มีบริการน้ำดื่มไม่เหมือนที่บ้านเราแทบทุกแห่งจะมีน้ำดื่มบริการ ทั้งๆ ที่เวียดนามมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์มาก แต่ต้องซื้อน้ำกินตลอดเลย ใครมาเที่ยวเวียดนามก็ขอให้เตรียมเรื่องน้ำติดตัวไว้ตลอดเวลานะครับ เพราะบางที่หาน้ำยากอยู่เหมือนกัน เคยถามราคาเตียงล่างเตียงบนว่าเตียงไหนแพงกว่ากันเพราะจำได้ว่าเคยมีคนบอกเตียงล่างจะแพงกว่าเตียงบน กลายเป็นว่าเค้าบอกเตียงล่างเตียงบนราคาเท่ากัน แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนคนจะแย่งเตียงบนเพราะใกล้แอร์ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวอย่างตอนนี้จะแย่งเตียงล่างกันเพราะไกลแอร์ อ้าวของผมได้เตียงบนกว่าจะรู้ตัวช่วงหัวรุ่งก็หนาวหน้าดูเลยครับ

          เรามาถึงสถานีเลาไกประมาณตีห้ากว่า ๆ อากาศตอนนี้หนาวมาก ๆ หนาวกว่าภาคเหนือบ้านเราพอสมควร อาจเป็นเพราะอยู่ติดกับชายแดนประเทศจีนก็เป็นได้ ต่างคนต่างรีบเดินเพื่อเข้าไปในสถานีก่อน ที่นี่จะมีรถรับจ้าง บริษัททัวร์มาโฆษณาชวนเชื่ออยู่มากมายเต็มไปหมด การมาเที่ยวเวียดนามเราต้องหาข้อมูลกันมาพอสมควรไม่งั้นจะโดนโก่งราคาแบบไม่น่าเชื่อ เช่นค่ารถจริง ๆ คนละ 25,000 ด่อง แต่อาจโดนโก่งราคาบอกคนละ 130,000 ด่องได้อย่างหน้าตาเฉย ส่วนมากที่ไม่ซื่อตรงจะเป็นพวกวัยรุ่น แต่คนสูงอายุจะไม่เหมือนกันครับออกจะดีมากด้วยซ้ำไป แบบนี้นี่เองที่ใครมาเวียดนามแล้วให้ต่อราคาลงอย่างน้อย 50%  หลาย ๆ ครั้งที่ผมต่อ 70 %แล้วก็ยังได้ แต่ต้องคอยดูทิศทางลมดี ๆ นะครับระวังเจอแม่ค้าพ่อค้าบันดาลโทสะจะพาลหมดสนุกกันได้

เทือกเขาฟานซ๊ปัน

          เมืองเลาไกเป็นเมืองหน้าด่านติดกับชายแดนจีน เราสามารถข้ามด่านไปเดินเล่นที่เมืองจีนได้ แต่คราวนี้เราไม่มีเวลาขนาดนั้น ก็เลยได้แค่ไปเยี่ยมที่ด่านเท่านั้น ฝั่งจีนจะเป็นเมืองเหอกู่ที่เราสามารถนั่งรถไฟต่อไปได้ถึงคุนหมิง อีกประมาณ 540 กม. แต่ต้องทำวีซ่าก่อน เมืองเลาไกไม่มีสถาปัตยกรรมสวย ๆ หลงเหลืออยู่นักเพราะเป็นเมืองที่โดนจีนเข้ามาทำสงครามยึดครอง โดยเฉพาะในช่วงปี 1979 ที่จีนบุกเข้ามาปราบเสียจนราบคาบ แต่ต่อมาเมื่อขับจีนออกไปได้แล้ว รัฐบาลเวียดนามในขณะนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะอนุรักษ์ความเป็นศิลปะเวียดนามเอาไว้ สิ่งก่อสร้างที่เลาไกจึงดูเหมือนกล่องคอนกรีตสี่เหลี่ยม กับเป็นเมืองที่มีต้นไม้น้อยมากเมื่อเทียบกับหลายๆ เมืองในเวียดนาม แต่ที่เลาไกนี่เราไม่ได้แวะเที่ยวอะไร เราใช้เป็นแค่ทางผ่านเพื่อไปบักฮา กับซาปาเท่านั้น


           เมืองบัคฮาอยู่ห่างจากเลาไกแค่ประมาณ 27 กม. เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ความโด่งดังของที่นี่กลับไม่แพ้เมืองใหญ่ ๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่สนใจเรื่องชนเผ่า ผ้าทอ หรือวิถีชีวิตที่เรียบง่ายดูท่าจะไม่น่าพลาดเมืองบักฮา ที่นี่มีชนเผ่ามากมายสาธยายไม่หมด  ทั้งไต เย้า ผู้ลาว จีน เวียดนาม ไลชิ เลอเหรอ ปกาเก่อญอ ถู่ลาว และชนกลุ่มน้อยอีกมากมาย ที่สำคัญที่สุดและเป็นสีสันจนเมืองบัคฮาขึ้นชื่อไปทั่วโลกคือ ม้ง ด้วยสีสันการแต่งกายที่ยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมของตนเองได้เป็นอย่างดีจนได้รับสมญานามว่า ดินแดนแห่งดอกไม้หลากสี หรือ The Flower Hmong of Sapa ก็ลองชมภาพดูละกันนะครับว่าสีสันพวกเค้าสวยงามขนาดไหน

          เราเดินทางมาถึงที่บัคฮาประมาณเกือบสิบโมงแม้ว่าระยะทางจากเลาไกมาก็ไม่กี่สิบกิโล แต่คนขับรถรับจ้างที่เรานั่งมาด้วยพี่ท่านขับวนเมืองเลาไกไม่รู้กี่รอบจนคนเต็มรถ แล้วค่อยไต่เขาขึ้นมาที่บักฮาโดยใช้เวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง เราก็นึกว่าใจดีพาชมเมือง ที่พักในบักฮานี่ถ้าไม่ได้จองผ่านทัวร์ก็แนะนำให้เดินไปเลือกได้เลยนะครับ มีหลายราคามาก ๆ ผมเลือกได้ใกล้กับตลาดวันอาทิตย์ซึ่งสะอาด และถูกมากคือแค่สองร้อยกว่าบาท แถมใกล้ตลาดไม่ต้องห่วงเรื่องอดอยากอีกด้วย เราใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นในเมืองบักฮา วิถีชีวิตที่นี่ยังคงน่ารักอยู่มาก ยังใช้เกวียนเทียมม้าเทียมล่อกันอยู่เหมือนในอดีต อาหารการกินก็มีมากมายทั้งแบบสำหรับคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่สำหรับกลุ่มเราอยู่แล้ว เพราะเราชอบที่จะแสวงหาอาหารท้องถิ่น ซึ่งก็สมใจหวังทุกมื้อ เพราะเวลาเราเดินเล่นในตลาดก็จะดูว่าร้านไหนที่ชาวบ้านเขาทานกันเยอะ ๆ เราก็จะร่วมแจมกับเค้าด้วยเลย เพราะแน่ใจว่าต้องอร่อยชัวร์ 

          ในตัวเมืองบักฮาค่อนข้างสงบเรียบร้อยมาก แตกต่างจากฮานอยอย่างสิ้นเชิง ผมเดินเล่นไปกับน้องตี๋สองคนเหมือนเป็นตัวประหลาดเลยครับ แต่เป็นตัวประหลาดที่เค้าอยากเข้ามารู้จัก โดยเฉพาะเด็กๆ ที่แสนซนทั้งหลาย เราเดินผ่านสนามกีฬากลางเมืองวันนี้เค้ามาสอบใบขับขี่กันด้วย ผมยืนดูแล้วคิดว่าทำไมสอบใบขับขี่บ้านเค้าดูเหมือนไม่ยากเหมือนบ้านเราเลย คือให้ขับวนเป็นวงกลมไปเรื่อย ๆ ทั้งกลุ่มประมาณ 40 คันพอเสร็จแล้วก็ไปเซ็นชื่อก่อนกลับบ้าน ไม่มีไฟเขียวไฟแดง ไม่มีสัญญาณอะไรทั้งนั้น ว่าง ๆ ก็มีคนขี่ม้าผ่านไปมาดูเป็นเมืองที่แสนเรียบง่ายดีจริง ๆ วันนี้ทั้งวันเราไม่เห็นแสงอาทิตย์เลยมีแต่เมฆกะหมอกปกคลุมท้องฟ้าอากาศก็เย็นจับใจดีแท้ การเดินทางเพื่อมาชมตลาดนัดวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะออกจากฮานอยวันเสาร์กลางคืนเพื่อให้มาทันตอนเช้า ซึ่งก็แล้วแต่สะดวก แต่พวกเราอยากมาเดินเล่นในตัวเมืองก่อน และไม่อยากไปแย่งรถไฟกันซึ่งถ้าพลาดแล้วต้องรอกันอีกอาทิตย์เลยทีเดียว 

          และแล้วก็มาถึงเช้าวันอาทิตย์ที่เรารอคอย ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแสงสลัวขมุกขมัวไปด้วยควันไฟที่ชาวบ้านมารอขายของจุดเตาเตรียมค้าขายแต่เช้าตรู่ รถมอเตอร์ไซด์ขนหมูที่ชำแหละแล้ว วิ่งผ่านไปมาคันแล้วคันเล่า ช่างดูคึกคักแตกต่างจากเมื่อวานที่แสนจะเงียบเหงา ร้านเฝอเริ่มนึ่งแป้งเพื่อทำเส้นแบบสด ๆ พอเห็นผมยกกล้องก็ส่งยิ้มหวานมาให้พวกเราเห็นแล้วทนไม่ได้เลยต้องขอรองท้องกันก่อนคนละชามสองชาม เฝอที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้ฮานอยเหมือนกัน ต่างแต่เค้าใส่เส้นมากกว่าเยอะเลย คงเป็นเพราะทำเส้นเองด้วยมั้งครับทำให้ไม่ต้องไปซื้อหาที่อื่นให้เปลืองต้นทุน

          ตลาดนัดที่บักฮาเหมือนเป็นศูนย์รวมของพวกชาวเขาที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียง หลายคนนำสินค้าของตนมาขาย หรือแลกเปลี่ยน และมาซื้อหาสิ่งของเครื่องใช้ของกินต่าง ๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไปหมู่บ้านตนเอง แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วการเดินทางไปยังตลาดบักฮาส่วนใหญ่ก็คือ ต้องการไปชมวิถีชีวิตของชนเผ่า  โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกาย ชาวเขาแต่ละเผ่าล้วนจะให้ความสำคัญของการมาตลาดในวันอาทิตย์กันมาก เนื่องจากตลาดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และรายได้ ที่ทุกคนจะได้นำสินค้าของตนมาขาย หรือแลกเปลี่ยน นำของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับตนเอง และครอบครัวกลับไป ที่บักฮานี้ฝรั่งเขียนถึงว่าแม้เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กับซาปาเลยทีเดียว เรียกว่าขึ้นมาสุดทางรถไฟสายเหนือแล้วก็ไม่ได้มีแค่ซาปาที่เดียวนะ แต่ยังมีบักฮาอีกด้วย


          เราเดินเล่นถ่ายภาพกันไปเรื่อย ๆ เรื่องถ่ายภาพนี่ต้องขอบอกกันก่อนนะครับว่า เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ชาวเขาที่นี่จะไม่ชอบให้ถ่ายภาพ โดยเฉพาะคนมีอายุ เคยมีคนบอกว่าที่นี่ถ้าถูกถ่ายภาพจะโดนดูดวิญญาณก็ไม่รู้จริงรึเปล่า แต่ผมคิดว่าเค้าคงไม่ชอบที่ให้นักท่องเที่ยวมองเค้าว่าเป็นของแปลก ทั้ง ๆ ที่พวกเค้าก็อยู่กันมาตั้งนานตลาดแห่งนี้ก็มาก่อนที่พวกนักท่องเที่ยวจะเข้ามาซะอีก ผมเห็นนักท่องเที่ยวบางคนไม่ค่อยมีมารยาทรุมเข้าไปถ่ายภาพเหมือนเป็น Human Zoo ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ชอบ ผมคิดว่าการถ่ายภาพบุคคลควรขอก่อน หรือถ้ายกกล้องแล้วเค้าไม่มีอาการปิดหน้า ไล่ หรือรังเกียจก็ไม่มีปัญหา ซึ่งบางครั้งผมเลือกที่จะยืนอยู่ไกล ๆ โดยไม่รบกวนเค้าจะดีกว่า 

          กู๋ลู้ก๊อ – ฉันรักเธอ กู๋ชิเป๊า – ฉันไม่รู้ กู๋ชิมั่วเงี่ย – ฉันไม่มีเงิน กู๋ไห่ลื้อม้งติ๊ติ๊ - ฉันพูดภาษาม้งได้นิดหน่อย


          ภาษาม้งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเคยรู้มาบ้างตอนไปถ่ายภาพชนเผ่าในบ้านเรา บางครั้งก็ช่วยลดช่องว่างให้เราได้เห็นรอยยิ้มของพวกเค้าได้ แม้ว่าตอนแรกจะไม่แน่ใจว่าเค้าพูดเหมือนกันรึเปล่าเพราะจริงๆ แล้วผมก็รู้อยู่แค่นี้แหละ พูดไปพูดมาไม่กี่คำพอเค้าตอบมาเราก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว ชาวม้งที่นี่จะนิยมใส่ฟันทองที่ทำด้วยทองแดง เพื่อบอกว่าฉันฐานะดีนะ พวกเราเดินถ่ายภาพกันเรื่อยเปื่อย บางคนก็เริ่มช็อปปิ้ง สินค้าที่นี่มีหลากหลายมาก มีชุดชาวเขามาขายด้วยลวดลายละเอียดประณีตมักทำจากผ้าหนา ๆ แล้วร้อยลูกปัด หรือปักลายลงไป มีเหล้าต้มขายเป็นแกลอนใหญ่ ๆ ทั่วไปที่นี่น่าจะไม่ผิดกฎหมายเหมือนบ้านเรา ผมเดินผ่านก็เห็นป้าชาวม้ง แกกวักมือเรียกแล้วยกให้ 2 จอกเลยรู้ว่าเหล้าขาวที่นี่แรงมาก ๆ แต่หอมอร่อย ใจอยากจะนั่งต่อ แต่กลัวจะเดินไม่ตรงเดี๋ยวจะอดไปซาปากันพอดี ที่สุดตลาดจะเป็นเนินสูงด้านบนจะขายพวกสัตว์ต่าง ๆ ทั้งหมู วัว ควาย แต่ที่ทำให้สาว ๆ ในทีมหลายคนเบือนหน้าหนีไม่ยอมถ่ายภาพก็คงจะเป็นเจ้าหมาน้อย กับบรรดาแมวเด็ก ๆ ทั้งหลายที่ส่งเสียงร้องกันระงม ที่นี่เค้ากินเนื้อหมากับแมวด้วย ซึ่งสำหรับพวกเราแล้วค่อนข้างทรมานจิตใจมากทีเดียว เราเดินกันอยู่บนนี้ไม่นานเพราะจิตใจหดหู่ แม้จะไม่ดุเดือดเท่าที่เมืองลารัฐฉานประเทศพม่าก็ตาม


          หมู่บ้านรอบ ๆ บักฮามีอีกหลายแห่งที่มีตลาดนัดเหมือนกัน และระยะทางไม่ไกลกันมากคือ ตลาดเกินเคา ซึ่งห่างจากบักฮาไปเพียง 18 กม.เปิดขายในวันเสาร์ และที่หมู่บ้านก๊อกลี มีตลาดนัดทุกวันอังคาร เสียดายแต่เวลาคราวนี้มีน้อยเกินไปเลยไม่ได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านอื่น ๆ เลย ที่ตลาดนัดบักฮามีถนนเส้นหลังวัดที่ยังมีชาวเขาเอาฟืนมาขายเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะหน้าหนาว เพราะที่นี่อากาศเย็นจับใจจริง ๆ เวลาผ่านไปเร็วมากเผลอไม่นานก็เกือบสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว เราก็ต้องรีบไปเก็บของเพื่อเดินทางต่อไปยังซาปา ผมอยากไปดูนักว่าที่เค้าว่าสวยนั้นสวยขนาดไหนถึงกับตั้งให้ว่าเป็น “สวิสเซอร์แลนด์แห่งเวียดนาม”




เรื่อง / ภาพ : นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง



Bac Ha Market, Vietnam
Location: Bac Ha Market is in Bac Ha District, Lao Cai Province; about 80km from downtown Sapa.
Characteristics: It is a trading centre and meeting place for couples, friends, and relatives every Sunday.
Every Sunday, Bac Ha hosts the biggest fair near the mountainous highlands and the Chinese border. It is a trading centre and meeting place for couples, friends, and relatives, and it is a typical weekly activity for the H’Mong and other minority groups living in the locality. Some walk several hours for the weekly opportunity to trade and barter food, animals, clothes and household goods. Local products are carried on horseback.

At the fair, adventurous gastronomes can try thang co blood porridge, a popular dish of the H’Mong and other local people.


Leave a Reply