About

ดอยเวียงผา


ดอยเวียงผา แสงสุดท้าย
จุดชมวิวบนยอดดอยเวียงผา Canon EOS 5DMKII EF 16-35 f2.8L + Lee Graduate 0.7


ผมเดินทางมาไชยปราการก็หลายครั้ง ทั้งเป็นทางผ่านไปดอยฟ้าห่มปก หรือบางครั้งนึกคึกอยากขึ้นดอยอ่างขางทางนี้ก็มีบ้าง แม้ว่าเส้นทางจะชันกว่าทางบ้านอรุโณทัยบ้างก็ตาม แต่ครั้งนี้เรากำลังจะเดินทางไป อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผากัน หลายคนอาจไม่คุ้นหู และเชื่อว่าหลายคนก็ยังไม่เคยมา จากที่ค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ทก็ดูมีที่เที่ยวหลากหลายดี น่าจะใช้เวลาซักสามวันสองคืนก็น่าจะหมด เห็นมียอดสูงสุด มีน้ำตก อืมน่าไปลองดู เพราะแถวๆ นี้เราก็เที่ยวกันจะหมดแล้ว งั้นเราไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผากันเถอะ

“โอ๊ะ...แปดโมงแล้ว เราเพิ่งสตาร์ทรถออกจากบ้าน จากเชียงใหม่ไปไชยปราการกว่าจะถึงก็คงซักสิบเอ็ดโมง เสร็จกันนัดพี่ๆ เค้าไว้” เรารีบเร่งออกจากบ้านในเวลาที่ต้องไปถึง ทำให้ยิ่งร้อนใจว่าเลยเวลามาตั้งนาน ไหนเจ้าหน้าที่จะรอ ไหนจะต้องปรับแผนการเดินทางในวันนี้ 

ยังดีที่วันนี้รถน้อยมากทำให้เราทำเวลาได้ดี ไม่นานนักเราก็มาถึงทางแยกเลี้ยวเข้าอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา ซึ่งก็ต้องเข้าไปอีก 12 กม. เราเลี้ยวรถเข้าไปซักพักเราก็เริ่มเจอทางแคบๆ จากแคบก็มาขรุขระ ต่อมาก็เจอถนนลูกรัง อืม...ต่อไปจะเจออะไรเนี่ย เราขับตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ พอเห็นตัวอุทยานอยู่ข้างหน้าก็ต้องร้องโอ้โหกันทั้งรถ สนามหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดี มีการจัดการที่ดีมาก เรียบร้อยสะอาดตาทั้งถนน ตัวอาคาร ห้องน้ำ ลานกางเต็นท์ทุกอย่าง แบบนี้ต้องยกนิ้วให้กับหัวหน้าอุทยาน และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันดูแลอย่างดี
ไหนๆ ก็มาสายแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเลยละกัน เพราะที่แรกที่จะไปคือน้ำตกแม่ฝางหลวง ที่นอกจากต้องนั่งรถไกลแล้ว ยังต้องเดินไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เรารบกวนรถของอุทยานเพราะได้รับคำบอกเล่ามาว่าเส้นทางนั้นไม่ธรรมดา แรกออกจากตัวอุทยานก็ยังไม่เท่าไหร่ ต่อมาซักพักก็เริ่มออฟโรด หลุมลึกๆ นี่เป็นเรื่องปรกติ ข้ามลำห้วยกันจนไม่อยากนับ แต่ที่สังเกต ทุกห้วยที่ข้ามน้ำใสมาก แสดงว่าที่น่าเป็นป่าต้นน้ำชั้นดี ลองถามเอกเจ้าหน้าที่ที่ช่วยมาขับรถให้ผมก็ได้ความว่าที่นี่น้ำมีตลอดปี แบบนี้ผมว่าฤดูฝนต้องสวยน่าดู 

น้ำตกแม่ฝางหลวง น้ำตกแรกที่ไปถึง
ถ่ายภาพด้วยความเร็วชัตเตอร์ต่ำ
โดยเลือกให้มีฉากหน้าเพื่อเพิ่มมิติของภาพ

ซักพักใหญ่ๆ เราก็มาถึงหมู่บ้านมูเซอ เอกบอกว่าเกือบจะถึงจุดที่เราต้องเดินต่อแล้ว คราวนี้เรามากับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ 6 คน ผมอีก 2 คน อืมเป็นการเดินป่าที่ไม่เหงาจริงๆ เรามาจอดที่ท้ายไร่มูเซอ เพื่อเดินทางต่อ เส้นทางเดินเรื่อยๆ ผ่านไร่เก่าชาวบ้าน มีเห็นซากตอไม้ที่โดนลักลอบตัด พี่เตี้ยงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ร่างสันทัดบอกว่าเป็นฝีมือของพวกนายทุนที่มาจ้าง เราจับได้ก็แต่ตัวเล็กๆ บางครั้งก็ไม่ได้ตัวเพราะพวกนี้เร็ว และรู้เส้นทางหนีดี ผมก็ได้แต่หวังว่าพวกตัดไม้ ทำลายป่าเมื่อไหร่จะหมดไปซักที โดยเฉพาะพวกนายทุน หรือผู้มีอำนาจที่เข้ามาบ่อนทำลายประเทศชาติ จะคอยให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ซึ่งมีกำลังอยู่ไม่กี่นาย กับพื้นที่หลายแสนไร่ก็ดูจะเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันได้เต็มที่
เดินกันพอรู้จักชื่อ พูดคุยกันไปเรื่อยยังไม่ทันหายใจให้หลายหอบก็มาถึงตัวน้ำตกแม่ฝางหลวง ผมเองเป็นคนที่ชอบเที่ยวน้ำตกอยู่แล้ว เรียกว่าไกลแค่ไหนก็ขอเดินไปดู มาคราวนี้ก็สมใจเพราะทั้ง 2 ชั้นเป็นน้ำตกขนาดกลางๆ แต่น่ารัก ยิ่งป่ารอบข้างที่ยังอุดมสมบูรณ์ยิ่งช่วยขับให้น้ำตกดูสดชื่นสมกับที่เดินมา พวกเราปล่อยเวลาไปกับสายน้ำเย็นที่ไหลรินซักพักใหญ่ๆ พอให้ผมได้เก็บภาพ และนั่งเล่นซักพักเราก็ต้องเริ่มเดินทางกลับกันก่อนที่จะมืด ช่วงเดินกลับยังเจอเจ้างูเขียวปากจิ้งจกตัวน้อยมาคอยทักทายอยู่กลางทางพอเป็นพิธี วันนี้หมดวันด้วยความสดชื่นจากน้ำตกแม่ฝางหลวง รอรุ่งขึ้นที่เราจะไปพักกันที่ดงสน ก่อนที่จะเดินขึ้นยอดสูงสุด ยอดดอยเวียงผา

เรานัดแนะกันตอนแปดโมงเช้าก่อนจะแวะซื้อเสบียงเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกลกันอีกครั้ง ที่ดอยเวียงผานี่การเดินทางไปท่องเที่ยวควรติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามเส้นทางก่อน เราเดินทางกันหัวสั่นหัวคลอนกันมาซักพักก็เริ่มไร่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านมูเซอดอยเวียงจนมาถึงจุดปล่อยตัว ได้ยินว่าจะมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มนึงมาเที่ยวด้วยกัน แต่จะตามมาทีหลัง วันนี้เลยต้องแบ่งเจ้าหน้าที่คือ เอก กับป๋าตุ้ยมากับผม เราก็เริ่มเดินกันไปตามสบายวันนี้เมฆครึ้มคลุมฟ้าเลยเดินเล่นชมนกชมไม้กันไปเรื่อยเปื่อยบนป่าก่อกว้างขวางเดินสบาย บนนี้ต้นไม้ใหญ่ๆ ยืนต้นห่างกันอย่างเป็นระเบียบ ซักพักก็เริ่มเดินลง ลงแบบลงอย่างเดียวไอ้เราก็คิดว่าเดินลงขนาดนี้ แล้วช่วงเดินขึ้นนี่จะขนาดไหน จากระดับ 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลงมาเหลือ 1,170 เมตรจากระดับน้ำทะเลแบบรวดเดียว ซักพักเราก็มาถึงลำธารแรกในดงไผ่ เดี๋ยวเรานั่งพักทานข้าวเที่ยงกันดีกว่า
พอให้ข้าวเรียงเม็ดก็ค่อยๆ ยกเป้ใบเล็กขึ้นสะพายหลัง แต่แทบแรงหมดเมื่อเอกบอกว่า เราจะเริ่มเดินขึ้นกันแล้วนะ แถวนี้เค้าเรียกว่า ป่าหอบ หือ...ป่าหอบหรือคนหอบ เพราะมองทางแล้วโอ้โหชันดีแท้ ท่าจะได้นับปลายเท้าตัวเองอีกแล้ว เวลาผมเดินทางขึ้นดอยสูงผมจะไม่มองปลายยอด เพราะจะหมดกำลังใจ เวลาเดินที่สูงชันอย่างหน้าผาผมจะไม่มองลงไปข้างล่างเพราะจะขาสั่นใจหวิวพาลจะก้าวขาไม่ออกเอาดื้อๆ แต่ชันยังไงก็ต้องเดินไม่งั้นต้องอยู่กินข้าวลิงคนเดียวไม่เอาดีกว่า ไต่ความสูงกันมาไม่นานเอกก็ชี้ให้ดูต้นปรง หรือมะพร้าวเต่า ต้นใหญ่สูงมากน่าจะซัก 15 เมตร ผมไม่ได้เห็นต้นปรงใหญ่ๆ แบบนี้นานแล้ว ผมชอบต้นปรงมากเพราะสวย ทนต่อสภาพอากาศ และยังใช้เป็นยาสมุนไพรได้อีกด้วย เช่นดอกใช้บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ หัว นำมาฝนกับเหล้าแก้ฟกช้ำบวม  รักษาแผลเรื้อรัง เป็นยาสมานแผลได้ดี ยิ่งป่านี้ต้นปรงเยอะ และสมบูรณ์มาก ผมเดินถ่ายภาพไว้หลายต้นเลยเรียกว่าจุใจกันทีเดียว

เราค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เดินหยุดสลับกันไป หลายหอบทีเดียวกว่าจะพ้นมาถึงป่าสน ตามเส้นทางตั้งแต่เริ่มเดินมีดอกไม้เล็กๆ มากมายออกดอกสวยตลอดเส้นทาง เป็นกำลังใจเล็กๆ ให้คนเดินทางอย่างเราๆ ป๋าตุ้ยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญกับทางเส้นนี้มากว่าสิบปีหันมายิ้มทุกครั้งเมื่อเห็นผมหยุดถ่ายภาพ เหมือนจะรู้ว่า หึ หึ จะหยุดพักละสิ แหมก็มันชันนี่ครับทำไงได้ ตามคาคบไม้กอเอื้องป่าสมบูรณ์อวบอิ่มมากมายตลอดทางบอกให้รู้ว่าช่วงเจ้าออกดอกต้องงามนัก เสียดายที่คราวนี้ยังไม่ใช่เวลาของเค้า

และแล้วเราก็มาถึงลานสนบนนี้อากาศเย็นสบายมากกับความสูงระดับ 1,650 เมตรแม้เวลาเพิ่งจะบ่ายสามโมง เราเดินไปเลือกมุมกางเต็นท์กันก่อนจะเดินไปชมน้ำตกใกล้ๆ ที่พัก ที่นี่น้ำดีจริงๆ สูงขนาดนี้ยังมีน้ำให้ใช้ได้อย่างสบาย ป๋าตุ้ยบอกว่าน้ำตกนี้ยังไม่มีชื่อ ช่วงหน้าแล้งยังมีน้ำอยู่แต่น้ำจะน้อยลง และถ้าโชคดีเราก็อาจจะเจอกะท่าง หรือซาลาแมนเดอร์แถวน้ำตกนี้ก็ได้ แสงสีทองเริ่มทาบทิวสนแล้ว แต่อีกกลุ่มยังไม่ขึ้นมา 

เกือบหนึ่งทุ่มเราจึงเห็นแสงไฟฉายวิบวับมาแต่ไกล ความมืดเริ่มปกคลุมจนไม่มีเวลาสนทนากัน ต่างคนต่างก็ต้องจัดการภารกิจส่วนตัว มื้อค่ำนี้เราเลยได้นั่งรวมกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ครบหน้ากันเหมือนเดิม พรุ่งนี้จะออกเดินทางพร้อมกันโดยจะขึ้นไปนอนที่ยอด 1,834 เมตรจากระดับน้ำทะเล หลังจากเจอกันมา 2 วัน เรื่องราวเฮฮาเสียงหัวเราะคิกคักก็ตามมาอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่แต่ละคนให้ความเป็นกันเองอย่างมาก เหมือนเจอกันมาซักปี จนความเย็นของอากาศดึงให้เราแยกย้ายไปพักผ่อนกันอย่างอบอุ่นในมิตรภาพของการเดินทาง

ภาพนี้ผมวัดแสงที่ท้องฟ้า และตั้งให้ under ลงประมาณ 1 stop เพื่อให้ทิวสนด้านหน้าเป็นเงาดำ (Silhouette) 

เพื่อให้ท้องฟ้าดูสีเข้มขึ้นผมจึงเลือกใช้ฟิลเตอร์ PL 
ก่อนตะวันขึ้นผมตื่นมาพร้อมกับกาแฟแก้วใหญ่ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นผมเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว เลยไม่ค่อยรีบร้อนซักเท่าไหร่ เพราะเดินไปนิดเดียวเองอีกอย่างเรายังไม่ได้อยู่บนยอดสูงสุด เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็มักขึ้นจากสันเขา ซึ่งแสงก็จะค่อนข้างแรง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจังหวะที่พระอาทิตย์ขึ้นมานี่แสงแรงมาก ทิวสนที่นี่สวยไม่แพ้ที่อื่นมีหลายกลุ่มฟอร์มสวยมากยิ่งช่วงฤดูหนาวที่เริ่มมีสายหมอกบางๆ คงจะเข้าที เอาละอาหารพร้อมแล้วเติมพลังเต็มที่เราก็พร้อมเดินทาง เห็นว่าทางไม่ชันหนักอย่างเส้นป่าหอบ ป๋าตุ้ยบอกว่าอีกไม่ไกลจะเจอดอกเอนอ้ากำลังออกดอกชูช่อสวยงามอยู่พอดี ผมก็นึกว่าดอกเอนอ้ามาทีละต้นที่ไหนได้มาเป็นลานเลยครับสวยงามมากๆ ดอกสีม่วงเข้มเบื้องหลังเป็นทิวสนตัดกับฟ้าสีน้ำเงินสดใส วันนี้ทำให้ผมถ่ายภาพมากเป็นพิเศษ

ระหว่างทางเดินเราผ่านสวนหินงามตามธรรมชาติหลายจุด ป่าโปร่งเดินสบาย เราหยุดพักกันเป็นระยะพอเงียบเสียงซักครู่ก็จะมีเจ้านกน้อยๆ บินมากันเต็มไปหมด เป็นที่ที่นักดูนกไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ผมนั่งไม่นานก็เห็นนกพญาไฟใหญ่ทั้งตัวผู้ตัวเมียตั้งหลายตัว นกไต่ไม้ นกแซงแซวฯลฯ แค่นั่งดูก็เพลินแล้วครับ เสียดายแต่ดอกกุหลาบขาว กุหลาบแดง และดอกกายอมที่เป็นดอกไม้พิเศษของที่นี่ยังไม่ออกดอก แต่เราก็ได้ภาพเอื้องสร้อยระย้า กระเจี้ยง เอื้องข้าวตอก ดอกมณีเทวา สรัสจันทร ดอกฮ่อมดอย เทียนป่าฯลฯ มากพอที่จะช่วยให้ระหว่างทางเดินมีอะไรมากกว่าต้นสนกับต้นปรง  

ทะเลภูเขาสุดสายตาที่ดอยเวียงผา

เรามาถึงลานหินใหญ่ที่ผมเล็งไว้ว่าจะเป็นมุมพระอาทิตย์ตก แต่ดูไปดูมาผมว่ามุมนี้กว้างพอที่จะถ่ายภาพได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และตกเลยทีเดียว เราเห็นเทือกดอยหลวงเชียงดาวอยู่ในม่านของหมอกแดดทางฝั่งทิศตะวันตก ดูสูงตระหง่านเหนือทิวเขาเบื้องล่างที่สลับซับซ้อนกับไปไกลสุดตา จากจุดชมวิวเราเดินขึ้นไปอีกแป๊บเดียวก็มาถึงจุดสูงสุดที่ความสูง 1,834 เมตรจากระดับน้ำทะเล เวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็นแสงแดดนุ่มๆขับให้ดอยฟ้าห่มปกที่อยู่ลิบๆ ทางทิศเหนือดูราวกับภาพวาด บนจุดกางเต็นท์ไม่กว้างขวางมากนัก กำลังดีสำหรับการมาท่องเที่ยวแบบเข้าถึงธรรมชาติจริงๆ ถ้าเพิ่งหมดฤดูฝนซักเดือน ก่อนถึงยอดดอยจะมีลำห้วยเล็กๆพอให้เราใช้น้ำได้สะดวกดี แต่ถ้าเข้าแล้งซักเดือนครึ่งเจ้าหน้าที่ต้องเดินลงไปเอาน้ำกันไกลทีเดียว


หน้าผาแถวนี้มีร่องรอยของเลียงผาอยู่ด้วย เลินบอกว่าเคยเจอกัน 2-3 ครั้ง เพราะดูจากสภาพพื้นที่แบบผาหิน และความอุดมสมบูรณ์แล้วเชื่อว่าเค้าคงอยู่อย่างมีความสุขกว่าไปอยู่ในสวนสัตว์แน่ๆ เรามีเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าที่จะเดินไปจุดชมวิวช่วงนี้เข้าฤดูหนาวแล้วฟ้าจะมืดเร็วกว่าฤดูร้อน เราเลยต้องเริ่มเตรียมดินเนอร์กันไว้ก่อนเดี๋ยวมืดมาจะพาลขี้เกียจทำกับข้าวแล้วจะกลายเป็นอาหารญี่ปุ่นกันอีก พอซักพักได้เวลาเราก็ค่อยๆ เดินลงไปตรงจุดชมวิวที่หมายตาเอาไว้ แสงที่ทออ่อนนวลตาทาบทิวเขาเบื้องหน้าที่สลับซับซ้อนให้เกินเป็นทัศนะมิติงดงาม ผมค่อยๆ ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ หลายมุมมอง หันไปด้านไหนก็สวยเพราะมุมกว้างมาก ถ่ายไปคุยกันไปเรื่อยจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเราก็ค่อยๆ เดินกลับที่พักกัน มาคราวนี้อากาศไม่หนาวจัดแต่ความเหนื่อยทำให้วงสนทนาดูจะลาเร็วไปกว่าคืนก่อน ผมออกมานั่งดูดาวก็ยังไม่พราวฟ้าเนื่องจากคราวนี้มาตรงวันพระจันทร์เต็มดวงพอดี ว่าแล้วก็ไปนอนเอาแรงเผื่อวันพรุ่งนี้ดีกว่า

น้ำค้างไม่แรงนักเช้านี้เลยไม่ต้องผึ่งเต็นท์กันระหว่างทางลงเราจะผ่านน้ำตกตาดเหมย น้ำตกสูงที่ทิ้งตัวเองผ่านหน้าผาชันจนฟุ้งเหมือนเหมย หรือหมอกบางนั่นเอง เราเดินลงกันอย่างเดียวหลังจากที่ผมพบความอลังการของขุนเขาในความสวยงามที่ลงตัว สนสวยสองต้นยืนเด่นด้วยฟอร์มที่สวยงามที่รับกับทิวเขาเบื้องหลังยามแสงแรกแห่งวันฉายให้เห็น ผมจำไม่ได้ว่าความสวยระดับประทับใจนี่ผ่านมานานกี่มากน้อยแล้ว แต่ที่ยอดดอยแห่งนี้คือที่ที่ผมอยากจะกลับมาอีกครั้ง เส้นทางเดินกลับเราผ่านดงเอนอ้าที่แน่นยิ่งกว่าทางขึ้นเสียดายก็แต่แสงยังไม่พ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมาก็ต้องเดินผ่านไปอย่างน่าเสียดาย 

ไม่นานแต่ชันพอควรเราก็มายืนอยู่หน้าน้ำตกตาดเหมยที่ชอุ่มเขียวด้วยแมกไม้ และประดับด้วยดอกเทียนหางที่เต้นไหวไปกับหยดน้ำที่พรมลงมาบนกอ ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมาก อาจเป็นเพราะความสวยงาม หรืออาจเป็นเพราะว่านี่เป็นที่สุดท้ายของวันนี้ที่เราจะแวะก่อนที่ผมจะต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ผมเคยคิดว่าป่าไหนๆ ก็เหมือนกัน แต่ดอยเวียงผาให้อะไรกับผมมากกว่าความสวยงาม โดยเฉพาะตัวอุทยานแห่งชาติซึ่งหัวหน้าอุทยานได้ดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งการต้อนรับที่อบอุ่น พี่ๆ เจ้าหน้าที่เป็นกันเอง ทั้งความรู้ และความรับผิดชอบ หากความสวยงามของสถานที่ขาดมิตรภาพที่ดีด้วยแล้วผมเชื่อว่าก็คงเหมือนเราปั้นข้าวนึ่งแต่ขาดน้ำพริกถ้วยโปรดเป็นแน่ 


 อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา 
ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้มาสำรวจและจัดตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติ บริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าลุ่มนำแม่ฝาง ท้องที่ตำบลศรีดงเย็น ตำบลแม่ทะลบ อำเภอไชยปราการ ตำบลแม่ข่า ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย ท้องที่ตำบลป่าแดด ตำบลศรีถ้อย ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยให้ชื่อว่า "อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา" คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้กรมป่าไม้ดำเนินการจัดตั้ง “อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2537 มีพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 356.778 ตารางกิโลเมตร หรือ 222,986 ไร่

การเดินทาง
รถยนต์ จากตัวเมืองเชียงใหม่ ถนนเชียงใหม่-ฝาง ตามทางหลวงหมายเลข 107 สู่อำเภอไชยปราการ แยกขวามือเข้าหมู่บ้านแม่ขิหล่ายฝาง ตามป้ายบอกเส้นทางจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผาระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร

หมายเหตุ : การเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ของอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา ควรติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามเส้นทางก่อนทุกครั้ง

ที่พัก อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา มีบ้านพักบริการนักท่องเที่ยว 2 หลัง พักได้ 15-20 คนต่อหลัง มีสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ สำหรับเต็นท์นักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมมาเอง

การติดต่อ
อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา
  • ตู้ ปณ.14 ปณจ.ไชยปราการ อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ 50320
โทร : 08-7186-2118 , 053-317-535
เรื่อง : นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง
ภาพ : นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง

Leave a Reply