About

แหลมพรหมเทพ เค้าว่าหนึ่งในจุดชมพระอทิตย์ตกที่สวยที่สุด





หลายๆ คนบอกว่า ถ้ามาเที่ยวภูเก็ตแล้วมาไม่ถึงแหลมพรหมเทพก็เหมือนมาไม่ถึงภูเก็ต แม้ว่าที่เกาะภูเก็ตจะมีที่เที่ยวมากมาย ทั้งทะเล สายลม แสงแดด ศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ภูเขา น้ำตก เรียกว่าครบสำหรับสถานที่ซักที่หนึ่ง ที่จะให้คุณท่องเที่ยวได้อย่างครบทุกรูปแบบ คราวนี้ผมก็เลยนำภาพแหลมพรหมเทพมาฝากกันซักภาพนะครับ ภาพนี้ผมบันทึกภาพด้วย Canon EOS 5D MKII Lens EF 16-35 f2.8L ด้วยเหตุที่ต้องการให้เห็นภาพมุมกว้าง จึงเลือกใช้เลนส์ช่วงังกล่าว เมื่อใส่กับ Body ขนาด Full Frame ก็จะได้มุมรับภาพเท่ากับเลนส์ 16mm แต่ถ้าใครเอาไปใช้ในกล้องตัวคูณ เช่น EOS 7D EOS 650D ก็ต้องคูณไปอีก 1.6 เท่า (Nikon คูณ 1.5) จากเลนส์ 16-35 ก็จะกลายเป็น 25.6-56mm ซึ่งก็จะกลายเป็นเลนส์ช่วงมุมกว้างธรรมดา ถึงช่วง Normal ซึ่งถ้าใครใช้กล้องตัวคูณอาจต้องหาเลนส์ช่วงมุมกว้างของกล้องตัวคูณมาใช้แทน เพื่อให้ได้มุมภาพที่กว้างเท่ากับ Full Frame เช่นเลนส์ Canon 10-22 หรือ Tokina 12-24 เป็นต้น

ผมไปเจอภาพๆ หนึ่งที่ไปรษณีย์ภูเก็ต เป็นแสตมป์เก่าภาพแหลมพรหมเทพ เป็นภาพที่ผมว่าเค้าน่่าจะยืนอยู่ที่เดียวกับผมเลย เอาเป็นว่าผมก๊อปมุมแสตมป์โบราณละกันครับ อิ อิ วันที่ผมไปถ่ายภาพถือว่าเป็นวันที่ลุ้นสุดตัวเหมือนกันครับ เพราะอีกวันก็คือันที่เดินทางกลับแล้ว แต่ตอนเช้าของวันถ่ายภาพกลายเป็นวันที่ฝนตก ฟ้าปิด พอช่วงบ่ายเมฆยังเยอะอยู่บ้าง ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าจะได้ภาพแหลมพรหมเทพที่ดีพอปิดงานเรื่องภูเก็ตรึเปล่า ช่วงห้าโมงเย็นผมไปถึงที่แหลมพรหมเทพก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกเกือบชั่วโมงครึ่ง เดินหามุมไปเรื่อยๆ เดินจนครบแทบทุกจุด สุดท้ายก็มาอยู่ในมุมด้านบนเหมือนเดิม เวลาผมเดินทางไปถ่ายภาพ ผมชอบเลือกมุมสูงเพราะส่วนมากภาพจากมุมสูงจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน แต่ก็ไม่จำกัดนะครับหลายๆ ภาพผมก็เลือกที่จะถ่ายภาพจากมุมต่ำแทบเรี่ยดินก็แล้วแต่มุมของแต่ละสถานที่ครับ

ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก ผมสังเกตุเห็นลมบนค่อนข้างแรง ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่วันนี้อาจจะโชคดีที่จะได้เห็นแสงสุดท้ายของวัน ผมตั้งขาตั้งกล้องไว้ล่วงหน้า นั่งเล่นนอนเล่นรอเวลา แนะนำว่าขาตั้งกล้องสำหรับถ่ายภาพริมทะเล ริมน้ำตก หน้าผา ถ้าเรามีแรงก็ขอให้แบกตัวหนักๆ ไปหน่อยนะครับ เพราะลมที่แรงของสถานที่จะทำให้กล้องสั่นเล็กๆ ได้เสมอ หรือถ้าไม่งั้นก็เอากระเป๋ากล้อง หรืออะไรก็ได้ที่พอมีน้ำหนัก ห้อยไปกับขาตั้งกล้องเพื่อเพิ่มน้ำหนักได้ครับ

และแล้วช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึง แสงสุดท้ายส่องลอดเมฆมาให้ชื่นใจ แม้ว่าเวลาที่แสงงามๆ จะมีไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอที่เราจะเก็บภาพไว้ตามความต้องการ ผมเลือกใช้รูรับแสงแคบมากคือ f16 เพื่อเก็บระยะชัดลึกให้ได้มากที่สุด และที่จะลืมไม่ได้คือฟิลเตอร์ Graduate ของ Lee ที่จะช่วยลดแสงท้องฟ้า ให้ใกล้เคียงกับพื้นทะเลด้านล่าง เราจะต้องคอยระวังเรื่องฟิลเตอร์ที่ทับซ้อนหน้าเลนส์ อาจทำให้เกิดแสงสะท้อน ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพของภาพลดลงอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำให้พยายามถือฟิลเตอร์ให้ชิดหน้าเลนส์มากที่สุด และถอดฟิลเตอร์ป้องกันหน้าเลนส์ออกด้วยนะครับเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น เอาเป็นว่าใครว่างๆ ก็ลองแวะไปถ่ายภาพดูนะครับ พอก่อนดีกว่า รู้สึกว่ายิ่งพิมพ์จะยิ่งเยอะแล้วล่ะครับ ไว้พบกันใหม่ครับ



เรื่อง / ภาพ : นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

แสงยามเย็น กับทิวสน



        แสงช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดินในวันฟ้าใส จะสาดเฉียงมาจากแนวทะแยง ซึ่งเราสามารถเลือกให้ได้ภาพแนวย้อนแสง หรือจะสร้างมิติของภาพจากทิศทางแสงดังกล่าว อีกทั้งสีสันของแสงช่วงนี้ยังดูอบอุ่น ผมเลือกภาพนี้มาแนะนำสภาพของแสงในช่วงดังกล่าว อ้อ ที่สำคัญผมแนะนำให้ถ่ายภาพเป็นไฟล์ Raw มาก่อนนะครับ เผื่อใครอยากปรับแต่ง White Balance ทีหลังก็จะให้คุณภาพที่ดีกว่า แต่ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาทีหลังก็เลือกใช้ White Balance แบบ Daylight หรือ Shade ก็จะช่วยให้สีสันดูอบอุ่นขึ้นได้ครับ

Read more

สัตว์ประเสริฐ-สัตว์เดียรัจฉาน



        โครงการคืนชะนีสู่ป่าที่จังหวัดภูเก็ต ผมมีโอกาสได้แวะไปดูโครงการของเค้าเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในหน้างานที่ผมต้องถ่ายภาพ และเขียนบทความลงในนิตยสารด้วย ต้องยอมรับว่าชะนีหลายๆ ตัวน่่าสงสารมาก ช่วงเด็กๆ ดูน่ารักคนก็นำไปเลี้ยง พอโตขึ้นก็ด้วยสัญชาติญาณของสัตว์ป่าที่ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ได้ถูกสั่งสอนให้เป็นผู้ดีเหมือนคนนำไปเลี้ยง พวกมันจึงถึงขัง ถูกทารุณกรรม ตามร้านบ้างก็เอาไปไว้แสดงให้พวกนักท่องเที่ยวดู บางตัวถูกตัดมือ ตาบอด รอยแผลเป็นตามตัว ฯลฯ มากกว่าจินตนาการของผมได้ว่านี่หรือคือสัตว์ประเสริฐที่กระทำกับสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองไปเรียกเค้าว่าสัตว์เดียรัจฉาน

        ผมเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ สิ่งที่ผมสังเกตุอีกอย่างหนึ่งคือ มีแต่คนต่างชาติที่แวะมาที่นี่ แต่คนไทยไม่มีเลย ตลอดเวลาครึ่งวันที่ผมอยู่ที่นั่น พวกเราลืมอะไรไปรึเปล่า 

ภาพนี้ผมเก็บภาพด้วย Canon 5D MKII Lens EF 70-200 f2.8 LIS ปรับเป็นขาวดำใน PS

โครงการคืนชะนีสู่ป่า
มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย
น้ำตกบางแป ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภุเก็ต 83110
โทร. 076-260 491-2
www.gibbonproject.org  /  www.warthai.org
Email : grp@gibbonprojec.org

Read more

GRP – The Gibbon Rehabilitation Project




        ก่อนการเดินทางลงจังหวัดภูเก็ตครั้งนี้ทางทีมงานได้หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ เพื่อจะได้ลงไปเก็บงานให้ได้ครบตามที่ต้องการแต่กลับไม่มีโครงการคืนชะนีสู่ป่าเลยในข้อมูลที่ส่งมาซึ่งทาง Paszo’ ได้พยายามจะจัดให้มีบทความประจำด้านอนุรักษ์ จึงหาข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อหลายปีมาแล้วได้ยินว่ามีการรณรงค์เกี่ยวกับการขึ้นมาวางไข่ของเต่ามะเฟือง บริเวณหาดไม้ขาว แต่จากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทำให้จำนวนเต่าลดลงจนแทบจะเรียกได้ว่าหมดไปจากหาดไม้ขาวแล้ว ผมเคยได้ฟังคุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ พูดติดตลกในคอนเสิร์ตหนึ่งว่า “ขอหาดไม้ขาวให้เต่ามะเฟืองน่ะได้ ขอหาดเขาเขาก็ให้ มีหาด แต่เต่าไม่มี” เป็นตลกเล็กๆ ที่ต้องเก็บมาคิด ถึงมาตรการแบบวัวหายแล้วค่อยล้อมคอก ซึ่งเรามักจะเห็นได้บ่อยครั้ง

        ผมมาเจอโครงการคืนชะนีสู่ป่าจากแผนที่ฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษ และได้ทำการติดต่อเพื่อเข้าไปเก็บข้อมูลสิ่งที่ผมได้สังเกตเห็นคือชะนีหลายตัวที่อยู่ในศูนย์ มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ทั้งโดนเลี้ยงแบบทารุณกรรม ตัดมือ ตัดเท้า หรือเมื่อโตแล้วก็ปล่อยทิ้ง เพราะไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กๆ พอโตขึ้นในฤดูผสมพันธุ์ชะนีจะมีนิสัยดุร้ายขึ้นตามสัญชาตญาณ

        ผมได้แต่เดินมองไปตามมุมต่างๆ กับข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาที่เป็นภาษาอังกฤษทำให้ผมเอะใจว่าทำไมหาภาษาไทยแทบไม่ได้ แม้แต่คนที่เข้ามาที่ศูนย์ก็มีแต่ชาวต่างชาติ เป็นบทสะท้อนให้เราต้องหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ให้มากกว่านี้ ภูเก็ตไม่ได้มีแค่ทะเลให้เรามาฉวยเอาความสนุกสุขใจ พักผ่อนสบาย แล้วก็จากไป แต่ยังมีอีกหลายชีวิต ที่คอยให้เราหันกลับมามองถึงบ้านเดิมของเขาที่ถูกรุกรานจนแทบจะไม่มีพื้นที่ให้อยู่อาศัย แถมยังถูกล่าจนช่วงหนึ่งศูนย์พันธุ์ไปจากเกาะภูเก็ตแล้ว



โครงการคืนชะนีสู่ป่า
มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย

โครงการคืนชะนีสู่ป่าเป็นส่วนอนุรักษ์และศึกษาวิจัยของมูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ได้แก่ กลุ่มเอเชียไวด์ไลฟ์ฟันด์ คุณเทอร์เรนท์ ดิลลอน มอริน และคุณนภดล พฤกษะวัน หัวหน้าป่าไม้จังหวัดภูเก็ตในขณะนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ชะนีและผืนป่าอันเป็นถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ โดยการฟื้นฟูชะนีให้มีความพร้อมที่จะปล่อยคืนสู่ป่า รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาเชิงอนุรักษ์แก่ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั่วไป



สถานภาพของชะนี
        ชะนีอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นพบเฉพาะในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้โดยจะอยู่เป็นครอบครัว แต่ละครอบครัวจะมีอาณาเขตเป็นของตน ซึ่งกว้างประมาณ 150 – 200 ไร่ การร้องของชะนีถือเป็นสื่อเตือนให้ไม่ให้ครอบครัวที่อยู่ข้างเคียงหากินบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของตน  อาหารหลักของชะนีคือผลไม้  ใบไม้  ดอกไม้ และแมลง ชะนีจะมีอายุยืนยาวกว่า 25 – 30 ปี จะอาศัยอยู่บนยอดไม้ในป่าชั่วชีวิต หากลงมาบนพื้นดินมักจะตกเป็นเหยื่อของเสือดาว เสือโคร่ง ซึ่งเป็นศัตรูตามธรรมชาติของชะนี  นอกจากนี้ยังมีงูเหลือมและนกอินทรีที่คอยล่าชะนีเป็นอาหาร  แต่ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดและเป็นตัวการทำให้ชะนีสูญพันธ์ก็คือมนุษย์

กว่าจะได้ลูกชะนีแต่ละตัวมาวางขายพรานต้องฆ่าชะนีไปกี่สิบตัวครอบครัวจึงจะได้ลูกชะนีที่มีอวัยวะครบสมบูรณ์ (แม่ชะนีป่าหวงลูกน้อยกระโดดหนีตามเรือนยอดไม้ พรานต้องยิงให้โดนแม่ เมื่อแม่และลูกร่วงลงสู่พื้นจึงจะได้ลูกมาขาย กี่ครั้งที่กระสุนพลาดไปโดนลูก กี่ครั้งที่ร่วงลงมาจากต้นไม้สูง 30 – 40 เมตรแล้วตายทั้งลูกและแม่ และกี่ครั้งที่ทั้งแม่และลูกไม่ตายในทันที สามารถหนีรอด แต่ต้องไปตายทีหลังเพราะพิษบาดแผล) เมื่อชะนีย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ตามอายุประมาณ 6 ปี เขี้ยวจะยาวและเริ่มดุร้ายตามสัญชาตญาณสัตว์ป่า สุดท้ายเจ้าของก็จะฆ่าหรือทอดทิ้งหรือผลักภาระมาให้มูลนิธิฯ หรือกรมป่าไม้

ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์ (CITES) ชะนีจัดอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 หมายถึงห้ามค้าขายเด็ดขาดเนื่องจากใกล้สูญพันธุ์ แม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งมีบทลงโทษบทผู้ครอบครอง ล่าหรือค้าสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องระวางโทษทั้งจำทั้งปรับแต่กระนั้นก็ยังมีการฝ่าฝืนกันมาตลอด

        การฟื้นฟูชะนี เมื่อชะนีมาถึงโครงการฯ จะได้รับการตรวจสุขภาพ ชะนีที่มีความเหมาะสมก็จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูต่อไป  โดยการให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุด ซึ่งจะช่วยให้เกิดความคุ้นเคยหรือได้เรียนรู้วิธีการดำรงชีวิตในธรรมชาติอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ฝึกฝนการปีนป่ายห้อยโหนโยนตัวบนกิ่งไม้ ซึ่งจะทำให้ชะนีแข็งแรงสามารถเคลื่อนที่บนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว ให้อาหารตามธรรมชาติและพยายามให้ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกับมนุษย์น้อยที่สุดชะนีบางส่วนไม่มีความเหมาะสมที่จะปล่อย เนื่องจากเป็นโรคร่างกายพิการหรือมีปัญหาอื่นๆ ซึ่งเป็นภาระใหญ่หลวงที่ต้องเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต

        ปัจจุบันเงินทุนในการดำเนินงานได้มาจากการบริจาคจากนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมการทำงานที่น้ำตกบางแป และกล่องรับบริจาคตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งความช่วยเหลือจากบรรดาอาสาสมัครทั้งชาวไทยและต่างชาติ หากท่านมีความประสงค์ที่จะสนับสนุนโครงการฯ ทั้งในด้านการเงินหรือสิ่งของต่างๆ ติอต่อได้ที่



โครงการคืนชะนีสู่ป่า
มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย
น้ำตกบางแป ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภุเก็ต 83110
โทร. 076-260 491-2
www.gibbonproject.org  /  www.warthai.org
Email : grp@gibbonprojec.org


เรื่อง กองบรรณาธิการ
ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

ซอยรมณีย์ ปัจจุบันที่อดีตอยากลืมเลือน



เคยอ่านหนังสือเล่มไหนฉันเองก็จำไม่ได้ เค้าบอกว่าอาชีพแรกที่เกิดขึ้นในโลกคืออาชีพโสเภณี ฟังแล้วก็พาลให้คิดไปถึงชีวิตยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสาวๆ ยืนกันเต็มริมฟุตบาทในบางถนนของบางเมืองที่ฉันขับรถผ่าน ทำให้นึกถึงก่อนที่ฉันจะเดินทางมาภูเก็ต ข้อมูลต่างๆ มากมายที่หลั่งไหลมาจากหลายที่ ทั้งเรื่องราวเก่าแก่ ตำนาน ฯลฯ ชื่อของซอยรมณีย์ก็อยู่ในหัวข้อที่น่าสนใจด้วย เพราะเป็นซอยที่สวย และมีประวัติความเป็นมาที่แปลกไปจากถนนเส้นอื่นๆ ในภูเก็ต

“หั่งอาหล่าย” คือ ชื่อดั้งเดิมของซอยรมณีย์ เปล่งเสียงตามสําเนียงชาวจีนฮกเกี้ยน ส่วนสําเนียงจีนกลางก็ว่า ฮ่างจื่อเน่ย ต่อมาในสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)  ท่านมาเป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต ประมาณปี 2445  ซึ่งเป็นยุคที่การทำเหมืองแร่กำลังรุ่งเรือง ประชากรอันเนื่องมาจากแรงงานชายในการทำเหมืองมีจำนวนมาก จึงมีโสเภณีจากญี่ปุ่น มลายูมาเก๊า ได้เข้าไปทำมาหากินในเมืองภูเก็ต พระยารัษฎาฯ จึงจัดระเบียบให้ผู้หญิงนั้นอยู่ในบริเวณเดียวกันแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ซอยรมณีย์” ที่แปลว่า น่ารัก น่ายินดี น่าสนุก น่าสบาย เพื่อสะดวกในการควบคุมนั่นเอง


แต่วันนี้ที่ซอยรมณีย์กลางเมืองภูเก็ตกลับสงบเงียบ สวยงามไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ จะมีบ้างบางแห่งที่ปรับสีสันให้สวยงาม ทั้งห้องพักกิ๊บเก๋ หรือร้านกาแฟน่านั่ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของถนนเส้นนี้จืดจางไปเลย ฉันเดินเล่นไปมาทั้งกลางวัน กลางคืน ได้แต่นึกถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีสำหรับถนนแห่งยุคสมัยเส้นนี้

เรื่อง  กองบรรณาธิการ
ภาพ  นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง

Read more

"พระผุด" ตำนานอัศจรรย์ที่วัดพระทอง




        “การก่อพระพุทธรูปสวมพระผุดนี้ก่อด้วยอิฐถือปูนมีแต่เศียรกับพระองค์เพียงเท่าทรวงเพื่อให้ดูเหมือนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ฝีไม้ลายมือทำก็กระนั้นแหละ แต่ต้องชมว่าเขากล้า มีคนน้อยคนที่จะกล้าทำพระครึ่งองค์เช่นนี้ เพราะฉะนั้นก็จะต้องยอมรับว่าเป็นของควรดูอย่างหนึ่ง”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)

        ภาพของพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ ที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ณ วัดพระทอง ในอำเภอถลาง วัดเก่าเเก่ประจำจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นอีกหนึ่งของ Unseen Thailand ซึ่งมาพร้อมตำนานอันน่าสนใจเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ เล่ากันมาว่า

        เมื่อแรกที่พบ “หลวงพ่อพระผุด” ณ เวลานั้นได้เกิดพายุฝนตกจนน้ำไหลท่วมทุ่งนาเสียหาย พัดพาต้นไม้โค่นล้ม พอฝนหยุดตกเด็กชายลูกชาวนาคนหนึ่งจูงควายไปเลี้ยงกลางทุ่ง แต่หากิ่งไม้ไม่เจอ เพราะต้องการหาที่ผูกเชือกสำหรับเลี้ยงควาย กิ่งไม้เล็กๆ ที่เคยผูกก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปหมด สักพักเขาเห็นสิ่งแปลกประหลาดสิ่งหนึ่ง มีโคลนตมพอกอยู่ มีลักษณะเหมือนตอไม้ขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาจากดิน เลยนำเชือกคล้องควายไปผูกไว้แล้วก็กลับมาบ้าน

        พอถึงบ้านเด็กชายคนนั้นก็เป็นลมล้มชักเสียชีวิตลงทันที ในตอนเช้าวันนั้นเอง พ่อแม่ก็จัดการกับศพเด็กแล้วออกไปดูควายที่ผูกไว้ พอไปถึงที่ก็เห็นควายนอนตายอยู่เป็นที่อัศจรรย์ และเมื่อเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง พวกเขาเกิดความรู้สึกกลัวรีบตัดเชือกผูกควายออกแล้วช่วยกันนำควายไปฝัง ตกดึกพ่อของเด็กที่ตายก็ฝัน ว่ามีคนมาบอกว่า ที่เด็กและควายต้องตายนั้นเป็นเพราะเด็กได้นำเชือกควายไปผูกไว้กับเกศพระพุทธรูป พอตื่นรุ่งเช้าก็ชวนเพื่อนบ้านให้ไปดู เมื่อเห็นวัตถุประหลาดนั้น ต่างคนต่างก็เอาน้ำมาล้างขัดสีเอาโคลนตมที่ติดอยู่ออกจนหมด จนกระทั่งสามารถ เห็นเป็นลักษณะเหมือนเกศพระพุทธรูปเหลืองอร่ามเป็นทองคำ ชาวบ้านจึงแตกตื่นพากันมา การบไหว้บูชาสักการะกันเป็นจำนวนมาก และยังชักชวนกันไปบอกให้เจ้าเมืองทรงทราบ

        เจ้าเมืองถลางสมัยนั้นอยู่ที่บ้านดอนซึ่งห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตร เมื่อเจ้าเมืองทราบ ก็รับสั่งให้ทำการขุดมาประดิษฐานบนดินแต่ขุดอย่างไรก็ไม่สามารถขุดได้เพราะมีเหตุมหัศจรรย์เกิดขึ้นด้วยปรากฏว่ามีตัวต่อตัวแตนจำนวนมาก บินขึ้นมาจากใต้พื้นดินไล่ต่อยผู้คนที่ขุด และยังต่อยแต่เฉพาะคนที่ขุดเท่านั้น ส่วนพวกที่ไม่ได้ขุด เพียงแต่เอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ ลูบคลำเกศพระผุด ตัวต่อแตนก็จะไม่ทำอันตรายเลยต่อมาได้มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาจากสุโขทัย ท่านได้เห็นหลวงพ่อพระผุด ท่านเกรงว่าหากพวกโจรเห็นแล้วจะตัดไปขายเสีย ท่านจึงคิดว่าควรจะสร้างวัดที่นี่ เพื่อเป็นการรักษาพระพุทธรูปองค์นั้นเอาไว้ วัดพระทองแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นในสมัยดังกล่าวโดยมี “หลวงพ่อสิงห์” เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านได้ชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างกุฏิ วิหาร และสร้างอุโบสถโดยมีหลวงพ่อพระผุดเป็นประธานในพระอุโบสถแล้วก่อให้สูงขึ้น



        วัดนี้เมื่อสร้างเสร็จชาวบ้านเรียกว่าวัดนาใน วัดพระผุด หรือวัดพระหล่อคอ เมื่อสร้างวัดแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระธุดงค์รูปนั้นได้ผูกปริศนาลายแทงไว้ดังนี้ "ยัก 3 ยัก 4 หาบผี มาเผา ผีไม่ทันเน่าหอมฟุ้งตลบ ผู้ใดคิดลบ ให้เอาที่กบปากแดง" ปริศนานี้เจ้าอาวาสต้องแก้ให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ จะอยู่วัดได้ไม่นาน แต่ไม่มีใครแก้ได้ในที่สุดวัดแห่งนี้ก็ร้างลง จนเลื่องลือกันว่า "วัดพระผุดกินสมภาร"

        อีกตำนานหนึ่ง บันทึกไว้ว่าพม่ายกทัพมาตีเมืองถลาง เมื่อปี พ.ศ. 2352 ได้พยายามขุดดินลงไปเพื่อหวังจะเอาพระผุดกลับไปพม่า แต่ขุดลงไปเจอมด ตัวต่อ แตน ขบกัด เอาไฟเผาดินร้อนขุดไม่ได้ พอดีทหารไทยยกทัพมาช่วย พม่าจึงหนีไป
       
        เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนานจนสิ่งก่อสร้างในวัดผุพังรกร้างเหลือแต่พระผุดที่พอกปูนไว้ เมื่อถึงปี พ.ศ. 2440 พระครูจิตถารสมณวัตร์ (หลวงพ่อฝรั่ง) แห่งวัดพระนางสร้าง ท่านสามารถแก้ปริศนาได้จึงบูรณะวัดพระผุดขึ้นมา โดยได้เป็นเจ้าอาวาส จำพรรษาอยู่ถึง 61พรรษา
   
        มาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระองค์ท่านได้เสด็จประพาสจังหวัด ภูเก็ตและได้เสด็จมาทอดพระเนตรพระผุดองค์นี้พระองค์ทรงมีพระราชวิจารณ์ไว้ว่า “การก่อพระพุทธรูปสวมพระผุดนี้ก่อด้วยอิฐถือปูนมีแต่เศียรกับพระองค์เพียงเท่าทรวงเพื่อให้ดูเหมือนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ฝีไม้ลายมือทำก็กระนั้นแหละ แต่ต้องชมว่าเขากล้า มีคนน้อยคนที่จะกล้าทำพระครึ่งองค์เช่นนี้ เพราะฉะนั้นก็จะต้องยอมรับว่าเป็นของควรดูอย่างหนึ่ง”

        จากนั้นรัชกาลที่ 6 ก็ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า “วัดพระทอง”

        หากแต่อีกความเชื่อหนึ่งของพี่น้องชาวจีนเชื่อว่าพระผุดถูกอันเชิญมาจากเมืองจีนเรียกว่า “พู่ฮุก” เล่าว่าธิเบตไปรุกรานจีนในเมืองเซี่ยงไฮ้ มีพระพุทธรูปทองคำ ชื่อ กิ้มมิ่นจ้อ ชาวธิเบตนำลงเรือมา แต่ถูกมรสุมจนเกยตื้น พระพุทธรูปองค์นั้นจมลงจนมีผู้คนมาพบในปัจจุบันท่าน ที่วัดแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ ที่ทางวัดจัดสร้างไว้ โดยรวบรวม วัตถุสิ่งของที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ไว้มากมาย บอกถึงวิถีชีวิตของชาวภูเก็ตสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี

ขอขอบคุณ : นิตยสารภูเก็ตบูลเลทิน




เรื่อง กองบรรณาธิการ Paszo' magazine Chiang mai
ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

ปาล์มหลังขาว - เขาพระแทว




        ในเขตพื้นที่ของจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นเกาะที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเล เรื่องของแหล่งน้ำจืดถือว่า เป็นหัวใจสำคัญสำหรับการอยู่อาศัย โดยเฉพาะเกาะที่มีความเจริญมากอย่างเกาะภูเก็ตที่มีทั้งโรงแรมจำนวนมาก ผู้คน และนักท่องเที่ยวที่พากันหลั่งไหลมาไม่ขาดสายแต่ใครจะรู้ว่าบนเกาะแห่งนี้มีพื้นที่สีเขียวที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญ และยังมีปาล์มหลังขาวพันธุ์พืชที่พบได้ที่นี่แห่งเดียวในโลกอีกด้วย นั่นก็คือเขาพระแทวผืนป่าสีเขียวที่ถูกลืมจากนักท่องเที่ยว

        สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว
        เขาพระแทวตั้งอยู่ในพื้นที่เขตร้อน มีพืชขึ้นหนาแน่น ซึ่งจะพบอยู่ทางใต้ของประเทศไทย อย่างไรก็ตามพืชส่วนใหญ่ได้ถูกจำกัดขอบเขต ถ้าไม่ถูกการทำลายหรือรบกวนจากมนุษย์เสียก่อน บางพื้นที่ถูกแทนที่ด้วยพืชเขตร้อนในหลายทวีป มีดินที่เป็นลักษณะสีน้ำตาลเหลือง หรือ เกิดจากการย่อยสลายของหินแกรนิต เป็นบริเวณที่มีการกระจายน้ำฝนอย่างพอเพียง เราสามารถมองเห็นความสมดุลระหว่างการสลัดใบในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงพร้อมกัน แนวโน้มสำหรับสภาพอากาศที่ชื้น จะไม่พบในเขตอากาศร้อนแบบนี้มากนัก เพราะเป็นเขตที่มีฤดูแล้งยาวนาน  ที่โดดเด่นที่สุดของเขาพระแทวคือ ต้นปาล์ม ซึ่งเป็นปาล์มสกุลใหม่ของโลก (new genus) และได้ตั้งชื่อว่า Kerriodoxa นับเป็นปาล์มที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะมีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติดั้งเดิมเพียงที่เขาพระแทวแห่งเดียวในเมืองไทย และเป็นแห่งเดียวในโลกที่ยังคงแพร่พันธุ์อยู่ตามธรรมชาติ
        ส่วนสำคัญของเขาพระแทว จะเป็นป่าดงดิบชื้น ที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มและความหลากหลายของพืชและสัตว์ป่ามากมาย พืชที่เกิดขึ้นมากที่สุดในเขาพระแทว เช่น ยางนา ไม้ตะเคียนทอง หลุมพอ และไม้พุ่มเล็กอื่นๆ ที่ยังอยู่ในระดับล่างของป่าดิบชื้นแห่งนี้ ได้แก่ ปาล์ม หวาย ไผ่ กล้วยไม้ เฟิร์นและมอส ซึ่งบางทีพบตามลำต้นไม้ต่างๆ ป่าแห่งนี้ ยังเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำหลายสายในพื้นที่ เป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศน์ที่หลากหลายชนิดมากที่สุดในโลก ดังนั้นบางครั้ง ก็มีการสูญเสียจากการทำลายป่าดิบชื้นแห่งนี้ที่กำลังเติบโตเช่นเดียวกัน เพียงแต่มนุษย์ต้องเปิดใจให้กว้างมองเห็นคุณค่าและความงามของผืนป่าแห่งนี้ ก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะได้ดำรงอยู่ต่อไปตามความสมดุลของธรรมชาติ



        ในช่วงระหว่างการเดินทางตามป่าเขาพระแทว คุณจะพบเห็นนกหลายชนิดตามต้นไม้หรือบนพื้นดิน บริเวณนี้จะพบนกอยู่สองประเภทคือ นกท้องถิ่นและนกอพยพ คนทั่วไปจะพบรังเพื่อวางไข่ของนกตลอดทุกปี ประเภทของนกเหล่านี้ จะรวมไปถึง นกที่มาจากเอเชีย อย่างเช่น นกเขียวก้านตองใหญ่ นกบั้งรอกปากแดง นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ เหยี่ยวแดง เป็นต้น ส่วนนกอพยพ อย่างเช่น นกเด้าลม นกแต้วแล้ว นกเขนน้อยไซบีเรีย นกกลุ่มนี้จะไม่สร้างรังบริเวณนี้ และจะพบเจอได้ระหว่างช่วงเดือนตุลาคม - มีนาคม การสังเกตและส่องนกในธรรมชาติ จะเป็นที่นิยมสำหรับนักดูนกเป็นอย่างมาก แต่นกยังเป็นสิ่งที่สำคัญในการกระจายเมล็ดพันธุ์พืชที่จะเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศน์ ต้นไม้เลื้อยจะพบเห็นได้ตามป่าดงดิบ ยิ่งไม้เลื้อยขนาดใหญ่ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของป่าดงดิบชื้นไปทันที การเข้าถึงของแสงแดดน้อยเพราะส่วนมากเป็นต้นไม้ที่แย่งการขึ้นอย่างหนาแน่น จึงทำให้บริเวณนี้เห็นแสงสว่างน้อย การเจิรญเติมโตของต้นไม้ต้องลงทุนใช้พลังงานจากพืชบางชนิดมาช่วยการสนับสนุนการเจริญเติบโต และทำให้การปรับตัวของพืชมีผลไปตามพืชชนิดอื่นๆ ด้วย

        สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว ตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว และอยู่ทางตะวันตกของ น้ำตกโตนไทร เพื่อให้สำหรับนักศึกษาและประชาชนทั่วไป ที่มีความสนใจเข้ามาทัศนศึกษาดูงาน สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า จัดตั้งขึ้นโดยเขาพระแทว เป็นเขตสำหรับห้ามล่าสัตว์ โดยทำหน้าที่ส่งเสริมเผยแพร่และ ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าตลอดจน สิ่งแวดล้อมต่างๆ นอกจากนั้น ยังมีน้ำตกโตนไทร แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยม ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจมากมาย จะมีกลุ่มผู้คนประมาณ 20-50 คนเข้าชมทุกสัปดาห์ ส่วนใหญ่จะเป็นตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา บางครั้งจะมีกลุ่มนักศึกษาเข้าชมต้นไทร ผู้เข้าชมจะได้รับการบรรยายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้และลักษณะทั่วไปของป่าเขาพระแทว จะมีเส้นทางเดินเท้าเพื่อศึกษาธรรมชาติ ซึ่งสามารถขอคำแนะนำได้จากเจ้าหน้าที่สถานีย่อยได้ มีห้องพักสำหรับผู้เข้าชม สามารถสำรองที่พักได้ตลอดปี
ปาล์มหลังขาว (ปาล์มเจ้าเมืองถลาง)

        เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) ดร.เอเอฟจี เดออร์ นายแพทย์ชาวไอร์แลนด์และนักพฤกษศาสตร์ ได้เดินทางมาสำรวจพรรณพฤกษชาติป่าเทือกเขาพระแทว ได้เก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้แห้ง (herbarium specimen) ของปาล์มพันธุ์ใหม่ชนิดหนึ่งบริเวณฝั่งลำธาร แต่ยังไม่สามารถจำแนกชื่อและสกุลได้ จึงได้นำตัวอย่างแห้งของปาล์มนี้ไปเก็บรักษาไว้ที่หอพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์ KEW กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ


         ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งอุทยานสัตว์ป่าเขาพระแทว เมื่อปี พ.ศ. 2520 (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว) ศาสตราจารย์ ดร. เต็ม สมิตินันทน์ ผู้เชี่ยวชาญพฤกษศาสตร์ป่าไม้ และนายจรัล บุญแนบ หัวหน้าสวนพฤกษศาสตร์เขาช่อง จังหวัดตรัง ได้กล่าวถึงปาล์มที่มีลักษณะเด่นพันธุ์นี้แก่ ดร.จอนน์ แดรนฟิลล์ นักพฤกษศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพันธุ์ไม้วงศ์ปาล์ม ก็พบว่าเป็นปาล์มสกุลใหม่ของโลก จึงได้ตีพิมพ์ในวารสารพฤกษศาสตร์ PRINCIPES เล่ม 27 ปี ค.ศ. 1983 ตั้งชื่อสกุล Kerriodoxa เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.เอเอฟจี เดออร์ นักพฤกษศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงผู้ริเริ่มงานศึกษาพรรณพฤกษชาติของไทย ระหว่างปี ค.ศ. 2445-2475 มีพันธุ์ไม้เพียงชนิดเดียว ได้แก่ Kerriodoxa elegans Dransfield เรียกชื่อสามัญว่า ปาล์มหลังขาว, ทังหลังขาว หรือ ปาล์มเจ้าเมืองถลาง


        ปาล์มหลังขาวจึงจัดได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้ถิ่นเดียวของประเทศไทยและของโลกที่ จัดอยู่ในสถานภาพที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์เนื่องจากแหล่งนิเวศหรือสภาพป่าดงดิบชื้นถูกคุกคาม ทำให้การแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ในขีดจำกัด

เอกสารอ้างอิง : - นายอวัช นิติกุล หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว
-กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
-หนังสืออุทยานสัตว์ป่าเขาพระแทวโดย Jean Boulbet และ นพดล พฤกษะวัน



เรื่อง กองบรรณาธิการ
ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง




Read more

จุดชมวิวดอยสุเทพ-ปุย


Sony nex7 Lens 55-210


กลางฤดูฝน ผมแวะขึ้นไปที่จุดชมวิวดอยสุเทพ-ปุย แม้ว่าจะเสี่ยงกับความผิดหวัง ไม่ว่าจะฟ้าปิด หรืออาจเจอกับสายฝนโปรยปราย แต่อีกมุมหนึ่งผมอาจได้แสงสวยๆ ที่แอบเล็ดลอดออกมาจากชายเมฆให้ชื่นใจเหมือนครั้งนี้ ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงประมาณ 2-3 นาทีที่แสงสาดมายังเทือกดอยเบื้องหน้า สีสันยามสะท้อนกับละออกฝนที่พรมลงบนยอดดอยช่วยสร้างความสวยงาม และมิติให้กับภาพได้อย่างลงตัว
ผมเลือกที่จะหยิบเลนส์เทเลช่วง 55-210 ติดกับกล้อง nex7 ที่ผมเลือกใช้กล้องตัวเล็กๆ กับเลนส์ราคาประหยัด เพราะวันสบายๆ ที่เพียงแค่แวะมาสูดอากาศสดชื่นคงไม่มีใครอยากแบกกล้องชุดใหญ่โตมาแน่ๆ และเจ้าตัวเล็กชุดนี้ก็ให้คุณภาพได้ดีเพียงพอที่จะใช้งานลงสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วๆ ไปได้อย่างดีแล้ว
ภาพนี้ไม่มีเทคนิคอะไรมากครับ เห็นแบบไหนก็ถ่ายไปแบบนั้น อ้อ ผมเลือกตั้ง WB เป็น Daylight นะครับ ส่วนมากผมจะไม่ค่อยตั้งไปที่ AWB เพราะสภาพแสงสวยๆ ของธรรมชาติจะถูกกล้องปรับให้กลายเป็นแสงสีแบบธรรมดา ดูซีดๆ ไป ซึ่งผมชอบแสงแบบที่ตาเห็นมากกว่าครับ
ใครมาเที่ยวถึงดอยสุเทพแล้ว นอกจากแวะน้ำตก แวะไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคล แวะหมู่บ้านม้งดอยปุย ก็ลองขับรถเลี้ยวขวาขึ้นมาอีกหน่อยก็จะเจอจุดชมวิวที่ว่า ทางอาจจะแคบซักนิดก็ขอให้ระมัดระวังกันมากๆ หน่อยนะครับ

เรื่อง/ภาพ : นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

Sony RX100 mini Review แบบบ้านๆ

Sony RX100 เป็นกล้อง Compact คุณภาพดีมาก เหมาะกับการใช้ถ่ายภาพทั่วไปๆ ได้อย่างดี

เรื่องข้อมูลเชิงลึกผมไม่เอามาลงในนี้นะครับ เพราะหาดูได้กับทุกเวปอยู่แล้ว ผมขอรีวิวแบบบ้านๆ ไปเรื่อยดีกว่าที่จะมาเขียนเชิงวิชาการให้ปวดหัวกัน
กล้องคอมแพคสมัยนี้พัฒนาไปมาก เริ่มมีการนำ sensor ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าสมัยก่อนมาใช้ ซึ่งทำให้คุณภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องใช้ ISO สูงๆ อีกทั้งระบบประมาลผลที่ได้รับการพัฒนาไปมากยิ่งทำให้ภาพถ่ายจากกล้องเล็กๆ ทุกวันนี้ประมาทไม่ได้ เจ้า RX100 ตัวนี้ก็เช่นกันครับ ด้วยขนาด sensor CMOS ขนาด 1 นิ้ว ที่ใหญ่กว่ากล้องคอมแพคทั่วไปหลายเท่า อีกทั้งเลนส์ 28-100 f1.8-4.9 คุณภาพสูงจาก Carl Zeiss Vario-Sonnar T*  ที่ออกแบบช่วงเลนส์ได้น่าใช้ และรูรับแสงช่วงมุมกว้างที่สว่างมาก

Sony RX100 f1.8
ทดสอบแบบโหดๆ ด้วยการถ่ายผ่านกระจกมองข้าง สภาพแสงน้อยมาก
ผมพาเจ้าตัวเล็กไปเดินเล่นหลายๆ ที่เพราะความเล็กเบาของมัน ทำเอาแทบลืมกล้อง DSLR ไปพักหนึ่ง คุณภาพของภาพยังสู้กล้องใหญ่ไม่ได้ แต่สำหรับวันสบายๆ คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องมีเจ้า RX100 ติดกระเป๋าไปด้วย ผมเริ่มจากคืนวันเสาร์ที่เชียงใหม่มีถนนคนเดินวัวลาย โดยเลือกเวลาไปตั้งแต่หกโมงเย็นเพราะยังพอมีแสงจากท้องฟ้าสีเข้มๆ ให้ผสมแสง ด้วยเลนส์รูรับแสงกว้าง 1.8 ทำให้ผมเลือกที่จะใช้โหมด A เพื่อควบคุมรูรับแสงเอง เดิน Snap ไปเรื่อยๆ ลอง Shot ยากๆ หลายภาพเช่นภาพคุณลุงที่เล่นไวโอลิน โดยเลือกถ่ายภาพสะท้อนจากกระจกข้างของรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ระบบโฟกัสแบบจับใบหน้าของเจ้า Sony RX100 ทำได้ดีมากครับ ไม่พลาดสำหรับภาพนี้แม้เปิดรูรับแสงที่ 1.8 ระบบวัดแสงไว้ใจได้ จะมีก็สีเหลืองที่ดู Drop ไปหน่อย แต่ไม่ใช่ปัญหาครับเดี๋ยวนี้ยุคดิจิตอลแก้ง่ายมาก

ช่วงเทเลให้คุณภาพพอใช้ได้
เรื่องสัญญาณรบกวนทำได้ดีตามแบบฉบับ Sony ยุคใหม่ที่ผมติดใจตั้งแต่กล้องตระกูล Nex มาตัวนี้ทำได้น่าประทับใจมากครับ ที่ 80-800 ใช้ได้สบายๆ ที่ 1600 ใช้ได้สบายๆ แม้ว่าจะเริ่มเห็น noise และคอนทราสลดลงบ้างก็ตาม ที่ 3200 รับได้ครับสำหรับกล้องตัวแค่นี้และความละเอียดระดับ 20 ล้านพิกเซล ทำได้ดีกว่ากล้องคอมแพคเกือบทุกตัว แต่อย่าเพิ่งไปเทียบกับ Canon G1X นะครับเพราะขนาด Sensor ต่างกันพอสมควร ที่ 12800-25600 ยังไม่ได้ลองครับ เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนให้มืดขนาดนั้นแล้วต้องถ่ายภาพ ถ้าต้องการคุณภาพแนะนำให้ใช้ได้ถึง 1600 ที่ 3200 ถือว่าดีครับ

ถ้าแสงดีๆ ใช้รูรับแสงกลางๆ ให้คุณภาพของภาพที่ดีมาก
ช่วงเลนส์ที่ให้มาคือ 28-100 เป็นช่วงที่ใช้งานสนุกดี แต่ถ้าลงได้ถึง 24 จะดีมาก คุณภาพของภาพจากเลนส์ชุดนี้ทำได้ดี เพราะ Sony ใช้เลนส์คุณภาพสูงจาก Carl Zeiss ที่ f1.8 ท่ี่กลางภาพดีทีเดียว ขอบภาพฟุ้งบ้างตามประสาเลนส์รูรับแสงกว้าง แต่ยังใช้งานแบบหวังผลได้ หรี่ลงมาซัก f2.8-4 คมขึ้นมาแบบเห็นได้ชัด ดีที่สุดอยู่ประมาณ f4-5.6 ครับ ส่วนที่ f11 คุณภาพลดลงมาก ความคมชัดด้อยกว่า f1.8 แต่ก็ได้ชัดลึกมาแทน แนะนำว่าเลี่ยงที่ f11 จะดีกว่าครับ ถ้าจะว่าถึงคุณภาพเลนส์กันจริงๆ แล้ว ตัวนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับเลนส์ตระกูล Carl ziess อีกหลายๆ ตัว แต่ถ้าเทียบกับกล้องตัวเล็กๆ ก็โอเคล่ะครับ อย่านำไปเทียบกับเลนส์สำหรับพวก DSLR ก็พอ

สถานที่ ยางคำรีสอร์ท เชียงใหม่
เลนส์ 28mm f1.8 ช่วยให้การถ่ายภาพสนุกขึ้นอีกมาก 
ทีนี้กล้องเล็กๆ แบบนี้มันไม่มีช่องมอภาพแบบกล้องใหญ่ เราต้องอาศัยจอหลังกล้องเป็นหลัก หลายๆ ตัวพอออกแดดก็เกิดอาการมองไม่ค่อยเห็น ซึ่ง Sony แก้โจทย์มาดีมาก ด้วยจอภาพขนาด 3 นิ้ว ความละเอียด 1228.8K-dot และเทคโนโลยี 'WhiteMagic' LCD screen ช่วยได้อย่างมากครับ คมชัดสีสันดี และเราสามารถปรับความสว่างเอง และสีของจอได้ หรือจะตั้งออโตเหมือนผมก็ให้ค่าที่ดีพอใช้ได้ครับ สีจากจอหลังกล้องจะสดกว่าภาพจริงเล็กน้อยซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติ

เก็บรายละเอียดได้ดี ถ่ายทอดสีสันได้น่าพอใจ
ส่วนมากพวกกล้องเล็กๆ มักจะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมดเร็ว RX100 เคลมว่าใช้ได้ประมาณ 330 shot ถ้าเป็นสมัยก่อนก็เหมือนกับเราถ่ายภาพได้เกือบ 10 ม้วน ถือว่าไม่น้อยเลย แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องห่วงเรื่องค่าฟิล์มค่าล้างอัดเหมือนสมัยฟิล์ม ประมาณว่ากดไว้ก่อนมาเลือกทีหลัง ทำให้หลายๆ คนอาจรู้สึกว่า 330 Shot ดูน้อย แต่ถ้าเทียบกับกล้องคอมแพคทั่วไปก็สามารถใช้ได้สบายๆ ถ้าให้สบายใจ หรือต้องเดินทางไกลก็ควรหาแบตเตอรี่สำรองไว้อีกซักก้อนกันเหนียวไว้ก่อน

กล้อง Sony RX100
สามารถตั้งค่าต่างๆ ได้เหมือนกล้อง DSLR ช่วยให้สร้างสรรภาพได้หลากหลาย

ส่วนพวกลูกเล่นต่างๆ ผมไม่ค่อยได้ใช้ แต่ทาง Sony ก็จัดมาให้เต็มที่ไม่แพ้เจ้าอื่น ผมเองด้วยเป็นคนรุ่นโบราณจึงใช้พวกนี้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ 555 เอาเป็นว่าอยากให้ลองไปจับตัวจริงเสียงจริงของเจ้า Sony RX100 กันดูก่อนนะครับ เผื่อจะติดใจงอมแงมเหมือนผมก็ได้

        ส่วนเรื่องรายละเอียดกล้อง พวกช่วงเลนส์ระบบต่างๆ ผมไม่เอามาไว้ในนี้นะครับ บอกแล้วว่า Review แบบบ้านๆ ครับ อิ อิ

AWB ทำงานได้ดี แต่บางสถานการณ์อาจต้องมาปรับแก้สีบ้างเล็กน้อย
ขอขอบคุณ
- น้องส้มที่มาเป็นแบบ
- ยางคำรีสอร์ท เชียงใหม่
- Photobug Chiang mai
               
เรื่อง/ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง




Read more

ซี่โครงแกะซอสกระเพรา


ต้นตำรับเบียร์วุ้นแก้วแช่ อาหารแนะนำ
        
        ช่วงบ่ายๆ ของวันนี้ผมมีโอกาสได้ไปถ่ายภาพอาหารแนะนำของร้านอาหารสามเสนวิลล่า ที่จะนำมาเป็นเมนูเด็ดทั้ง 6 รายการ เรื่องรสชาติอาหารสำหรับที่นี่ไม่ต้องเป็นห่วง รับประกันมาตั้งแต่ปี 2521ตอนร้านเปิดผมเพิ่งขวบเดียวเอง ถ้าไม่ดีจริงคงไม่ยืนยาวมาขนาดนี้แน่ๆ อีกทั้งยังเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขารวมเป็น 3 สาขาในปัจจุบัน บ่นนอกเรื่องมาซะตั้งนาน เอาเป็นว่าเรามาดูเมนูแรกกันก่อนเลยดีกว่า ที่ว่ามาดูเพราะถ้าใครอยากชิมต้องรอต้นเดือนกันยายน 55 นะครับ สำหรับจานนี้เสร็จผมไปแล้ว ขอบอกว่าของเค้าเด็ดจริง
        “ซี่โครงแกะซอสกระเพรา” ทีเด็ดของวันนี้ ไหนๆ กาลเวลาก็เปลี่ยนไปการที่เราจะหาอาหาร Fusion ชิมซักจานไม่ใช่เรื่องยากในปัจจุบัน เพราะหลายๆ ร้านก็จะมีอาหารแนวนี้บรรจุอยู่ในเมนูให้เราเป็นเรื่องปรกติ แต่ทำไมผมถึงเลือกจานนี้มาแนะนำก่อน ก็เพราะเจ้าแกะ หรือซี่โครงแกะนั้นเป็นเนื้อสัตว์ประเภทที่มีกลิ่นเฉพาะตัว บางคนก็ชอบ บางคนก็ว่าไม่ชอบ ร้านบางร้านทำไม่ดีก็จะกลายเป็นกลิ่นสาบให้เสียอรรถรสไปง่ายๆ แต่สำหรับจานนี้ร้านอาหารเก่าแก่ดั้งเดิมอย่างร้านอาหารสามเสนวิลล่าไม่ปล่อยให้พลาดแน่นอนด้วย ซอสกระเพราถึงเครื่องสูตรพิเศษที่วางตัวให้มาประกบคู่กับซี่โครงแกะที่ผ่านการคลุกเคล้าเครื่องเทศ และย่างมาอย่างพอดิบพอดี หอมอร่อยด้วยเครื่องเทศแบบไทยประยุกต์ ที่เป็นสูตรเฉพาะสำหรับจานนี้ที่นุ่มเข้าเนื้อแกะ เป็นการ Mix and match ที่ลงตัว ข้าวผัดกระเทียมที่เคียงมานั้นก็ช่วยดึงรสชาติความหอมขึ้นอีกด้วย
        พูดไปก็คงเห็นแค่ภาพ แต่เรื่องรสชาตินี่บอกกันไม่ได้จริงๆ เรื่องราคายังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าร้านนี้เน้นคุณภาพเกินราคาเสมอคงไม่ทำให้ผิดหวังอีกแน่นอนครับ ถ้าใครว่างก็ลองแวะไปชิมดูได้ในเดือนกันยายน ปีนี้ครับ

เรื่อง/ภาพ : นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

เบียร์วุ้นแก้วแช่ ร้านอาหารสามเสนวิลล่า ความสดชื่นที่เริ่มมาตั้งแต่ 2521

เบียร์เย็นจัดจนคล้าย เบียร์หิมะ
เบียร์วุ้นแก้วแช่ ร้านอาหารสามเสนวิลล่า
        

        ถ้าจะย้อนเวลาไปหยิบเบียร์วุ้นขวดแรกที่เป็นต้นตำนานของ “เบียร์วุ้นแก้วแช่” ทีเด็ดประจำร้านอาหารสามเสนวิลล่าแล้วล่ะก็ คงมีคนคิดว่านั่นต้องผ่านกระบวนการคิดให้เป็นเบียร์วุ้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับคอเบียร์บ้านเราเป็นแน่แท้ แต่จริงๆ แล้วหากจะกล่าวว่าเกิดจากความบังเอิญก็คงไม่ผิดนัก ด้วยความที่บ้านเราเป็นเมืองร้อนเวลาทานเครื่องดื่มก็มักจะต้องแช่เย็น หรือใส่น้ำแข็งให้เย็นชื่นใจ จะด้วยความพอดี หรือเกินพอดีก็ไม่ทราบได้ เจ้าเบียร์ชุดหนึ่่งในตู้แช่เย็นจัดในเวลานั้นเกิดเป็นเบียร์ฟูนุ่มคล้ายวุ้น รินลงแก้วแล้วดูเหมือนไอศครีมนุ่มลิ้นน่าลิ้มลองเป็นยิ่งนัก อีกทั้งแก้วที่แช่เย็นจัดก็จะช่วยให้เบียร์แก้วนั้นรักษาความเย็นจัดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ความบังเอิญของเจ้าเบียร์ขวดนั้นเลยเป็นการจุดประกายให้คิดค้นกระบวนการที่จะช่วยแก้กระหายคลายร้อนในแบบฉบับของเบียร์วุ้นแก้วแช่ประจำร้านอาหารสามเสนวิลล่ามาจวบจนทุกวันนี้ ซึ่งครองใจนักดื่มมาแล้วตั้งแต่ปี 2521 

เรื่อง/ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

บ้านเปี่ยมสุข ร้านกาแฟเล็กๆ ที่น่าแวะ

เค้กอร่อยๆ ที่ร้านบ้านเปี่ยมสุข เยื้องวัดเกตุ จ.เชียงใหม่ 

        ริมถนนเส้นวัดเกตุผมชอบแวะมาเป็นประจำ เพราะผมชอบเป็นพิเศษ นอกจากบ้านเก่าสวยๆ หลายหลัง แล้วถนนเส้นนี้ยังมีร้านอาหารอร่อยๆ อีกหลายร้านเช่น ร้านอาหารสามเสนวิลล่า ที่บรยากาศดีติดริมน้ำปิง หรือร้านสไตล์มันๆ ที่โด่งดังเช่น The River Side หรือใครอยากชิมชาดีๆ ก็ที่ร้านเวียงจุมออน

มุมสบายๆ พร้อม wifi บริการ

        แต่วันนี้ผมมีร้านกาแฟเก๋ๆ เปิดใหม่ร้านหนึ่ง ที่อยากนำมาแนะนำกัน ด้วยบรรยากาศเป็นกันเองแบบบ้านสมัยเก่า แต่งร้านเรียบง่ายดูเป็นกันเอง กาแฟที่นี่ใช้ได้ครับ เค้กที่ลอง 2 อย่างผ่านสบายๆ เพราะเจ้าของร้านบอกว่าทำเอง และลูกๆ ชอบทานเลยต้องคุมคุณภาพให้ดีตั้งแต่แรก อ้อที่ร้านนี้มี wifi บริการฟรีเหมาะกับการมานั่งพักผ่อน 


        ส่วนที่จอดรถแนะนำว่าอย่าจอดรถริมถนนนะครับ เพราะเค้าห้ามจอดรถตลอดแนว และถนนเส้นนี้ค่อนข้างแคบ จะมีที่จอดรถสบายๆ ข้างวัดซิกส์ กว้างขวางสะดวกสบาย แค่เดินข้ามถนนมานิดเดียวก็ถึงแล้วครับ ใครแวะมาเส้นวัดเกตุก็อยากให้แวะมาลองกันนะดูนะครับ


เรื่อง/ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

Olympus OMD กล้องหน้าตาธรรมดาที่คุณภาพไม่ธรรมดา

Olympus OMD Lens 75 f1.8 


        วันนี้ทาง Photobug จ.เชียงใหม่ ได้ชวนผมไปฟังเกี่ยวกับเทคโนโลยีของกล้อง Olympus OMD ที่เพิ่งออกมาไม่นาน กับเลนส์ระดับเทพที่ชวนให้กิเลสพุ่งอีก 2 ตัวคือ Olympus 45 f1.8 และ Olympus 75 f1.8 ต้องบอกว่าเป็นเลนส์ที่ดีมากทั้งคู่ คุณภาพสูง ความคมชัดดีมากๆ โดยเฉพาะตัว 75 f1.8 ที่ไม่เป็นรองเลนส์ค่ายญี่ปุ่นทุกตัว และที่สำคัญกล้องตัวนี้ระบบต่างๆ ค่อนข้างสมบูรณ์มาก โฟกัสเร็ว แม่นยำแม้ในที่แสงน้อย หรือย้อนแสง ระบบจัดการ Noise ที่ถูกพัฒนาขึ้นมามากจากเดิมที่ทำได้ไม่เกิน ISO800 แต่เจ้า OMD นี่ผมเชื่อว่าที่ ISO1600-3200 ยังให้ภาพที่มีคุณภาพสูงพอใช้งานทั่วไปได้สบาย ส่วนเรื่องโทนสีคงต้องแล้วแต่คนชอบนะครับ ผมว่าทำได้ดีพอสมควร กล้องตัวนี้ยังมีระบบอีกมากมาย มากมายจริงๆ ที่สามารถรองรับตั้งแต่มือใหม่สมัครเล่น จนถึงมือเก๋า หรือจะใช้งานใน Studio ก็ได้ เสียดายคราวนี้ผมไม่ได้ลองใน Studio เพราะเวลามีน้อย

Olympus OMD Lens 45 f1.8

        ผมมีเวลาทดลองใช้อยู่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ครั้งนี้จึงอย่าถือว่าเป็นจริงเป็นจังอะไรนักนะครับ ถือว่าผมมาบ่นให้ฟังละกัน เอาเป็นว่าหากใครหากล้องซักตัวไว้ท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงกึ่งจริงจัง น่าจะไม่ผิดหวังนะครับ เป็นกล้องที่ใช้งานสนุก ง่าย และให้คุณภาพสูงครับ อาจติดปัญหาเรื่องราคาบ้างแต่ต้องบอกว่าเป็นของดีที่คุ้มราคาครับ

ทดอสบกล้อง Olympus OMD
Olympus เคลมว่า DR 11 Stop ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดีครับ

        ผมขอนำภาพมาฝากกันเล็กน้อย ขอบคุณพี่ป๊อป Photobug และทีมงานจาก Olympus ทุกท่านครับ และสถานที่สวยๆ ของ ยางคำรีสอร์ท จ.เชียงใหม่ อ้อ ภาพทุกภาพนี้จงใจทดสอบกล้องและเลนส์ โดยถ่ายในสภาพแสงในร่มบ้าง ย้อนแสงบ้าง เกิดเงาบ้าง ดัน ISO 3200 บ้าง ฯลฯ ส่วนมากเปิดรูรับแสงกว้างสุด ไม่ได้ใช้แฟลช และ Reflex ครับ แต่ก็ผ่านมาได้ค่อนข้างดี มีฟุ้งบ้าง ขอบม่วงเล็กน้อย อิ อิ

เรื่อง/ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง
26/8/55


Read more

หลวงพ่อแช่ม วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต




ประวัติวัดฉลอง
        "วัดฉลอง"เป็นวัดที่มีมาแต่ก่อนเก่า จึงไม่มีท่านผู้ใดทราบประวัติความเป็นมาได้ละเอียดนัก วัดฉลองนี้ตั้งอยู่บริเวณทุ่งนาและป่าละเมาะ ทางด้านเหนือของเกาะภูเก็ต ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7-8 กิโลเมตร ตามหลักฐานที่ปรากฏมีศาลาเก่าแก่อยู่หลังหนึ่งทางด้านทิศตะวันออก (ของวัดในปัจจุบันนี้) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระปฎิมาจากสภาพขององค์ท่าน นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาช้านานแล้ว จนไม่อาจคำนวณอายุที่แน่นอนได้ ชาวบ้านฉลองและคนทั่วไป เรียกท่านว่า "พ่อท่านเจ้าวัด" ด้านซ้ายขององค์ท่านมีรูปหล่อของชายชรานั่งถือตะบันหมาก ชาวบ้านเรียกว่า "ตาขี้เหล็ก" ส่วนด้านขวา ของ "พ่อท่านเจ้าวัด" นั้น มีรูปหล่อเป็นยักษ์ถือกระบองแลดูน่ากลัว ชาวบ้านเรียกว่า "นนทรีย์" รูปหล่อทั้ง 3 องค์นี้ ท่านศักดิ์สิทธิ์นัก จนเป็นที่โจษขานกันมานานแล้ว

         เจ้าอาวาสวัดฉลององค์แรกท่านเป็นพระเถระองค์ใดนั้น ในประวัติไม่ได้บันทึกเอาไว้ ก็เลยไม่ทราบนามท่านเท่าที่ทราบมี "พ่อท่านเฒ่า" ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดฉลององค์ก่อน "หลวงพ่อแช่ม" ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐานเป็นที่เลื่องลือ เมื่อ "ท่านพ่อเฒ่า" ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชราอาพาธ "หลวงพ่อแช่ม" ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาทสืบต่อจาก "พ่อท่านเฒ่า"

         ต่อมา.. ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมศักดิ์ว่าที่เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาฌมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อ "วัดฉลอง" เสียใหม่เป็น "วัดไชยธาราราม" แต่.. ประชาชนโดยทั่วไปมักเรียกว่า "วัดฉลอง" เพราะเป็นชื่อที่คุ้นหูมาก่อน

หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี)

         "หลวงพ่อแช่ม" วัดฉลอง ภูเก็ต ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เมื่อปีกุน พุทธศักราช 2370 ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 นามโยมบิดา-มารดา ไม่ปรากฏในประวัติ แม้แต่ "หลวงพ่อช่วง" วัดท่าฉลอง ศิษย์เอกของท่านก็ไม่สามารถให้รายละเอียดได้

         พ่อแม่ส่งให้อยู่ ณ วัดฉลอง เป็นศิษย์ของพ่อท่านเฒ่าตั้งแต่เล็ก เมื่อมีอายุพอจะบวชได้ก็บวชเป็นสามเณร และ ต่อมาเมื่ออายุถึงที่ จะบวชเป็นพระภิกษุก็บวชเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ ณ วัดฉลองนี้หลวงพ่อแช่มได้ศึกษาวิปัสนาธุระจากพ่อท่านเฒ่าจนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ ทางวิปัสนาธุระเป็นอย่างสูง 
ถึงแม้พระคุณท่านจะได้มรณภาพไปนานแล้วก็ตาม ชื่อเสียงและเกียรติคุณของพระคุณท่านยังตรึงตราตรึงใจอยู่ในความทรงจำของชาวภูเก็ตและชาวไทยทั่วทุกภาค แม้แต่ประชาชนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงยังให้ความเคารพเลื่อมใส ศรัทธายิ่ง ดุจดังเทพเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์นานัปการหลวงพ่อแช่ม ชาตะ พ.ศ.2370 มรณภาพ พ.ศ.2451

        เมื่อครั้งพระคุณท่านมีชีวิตอยู่มีผู้ศรัทธาและเลื่อมใสท่านมาก ถึงขนาดรุมกันปิดทองที่ตัวท่านจนแลดูเหลืองอร่ามไปทั้งร่าง เฉกเช่นเดียวกับปิดทองพระพุทธรูปบูชา นับเป็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
        ความมีชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มปรากฏชัดในคราวที่หลวงพ่อแช่มเป็นหัวหน้าปราบอั้งยี่ ตามความแต่โบราณดังนี้



 ปราบอั้งยี่
        ในปีพุทธศักราช 2419 กรรมกรเหมืองแร่เป็นจำนวนหมื่น ในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงได้ซ่องสุมผู้คนก่อตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่า อั้งยี่ โดยเฉพาะพวกอั้งยี่ในจังหวัดภูเก็ตก่อเหตุวุ่นวายถึงขนาดจะเข้ายึดการปกครองของจังหวัดเป็นของพวกตน ทางราชการในสมัยนั้น ไม่อาจปราบให้สงบราบคาบได้ พวกอั้งยี่ถืออาวุธฆ่าฟันชาวบ้านล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป เฉพาะในตำบลฉลองชาวบ้านได้หลบหนีเข้าป่า เข้าวัด ทิ้งบ้านเรือนปล่อยให้พวกอั้งยี่เผา บ้านเรือนหมู่บ้านซึ่งพวกอั้งยี่เผา ได้ชื่อว่า บ้านไฟไหม้ จนกระทั้งบัดนี้

         ชาวบ้านที่หลบหนีเข้ามาในวัดฉลอง เมื่อพวกอั้งยี่รุกไล่ใกล้วัดเข้ามา ต่างก็เข้าไปแจ้งให้หลวงพ่อแช่มทราบ และนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่ม หลบหนีออกจากวัดฉลองไปด้วย หลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนี ท่านว่า ท่านอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่เด็กจนบวชเป็นพระ และเป็นเจ้าวัดอยู่ขณะนี้ จะให้หนีทิ้งวัดไปได้อย่างไร

         เมื่อหลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนีทิ้งวัด ชาวบ้านต่างก็แจ้งหลวงพ่อแช่มว่า เมื่อท่านไม่หนีพวกเขาก็ไม่หนีจะขอสู้มันละ พ่อท่านมีอะไรเป็นเครื่องคุ้มกันตัวขอให้ทำให้ด้วย หลวงพ่อแช่มจึงทำผ้าประเจียดแจกโผกศีรษะคนละผืน เมื่อได้ของคุ้มกันคนไทยชาวบ้านฉลอง ก็ออกไปชักชวนคนอื่นๆ ที่หลบหนีไปอยู่ตามป่า กลับมารวมพวกกันอยู่ในวัด หาอาวุธ ปืน มีด เตรียมต่อสู้กับพวกอั้งยี่

          พวกอั้งยี่ เที่ยวรุกไล่ฆ่าฟันชาวบ้าน ไม่มีใครต่อสู้ก็จะชะล่าใจ ประมาทรุกไล่ฆ่าชาวบ้านมาถึงวัดฉลอง ชาวบ้านซึ่งได้รับผ้าประเจียด จากหลวงพ่อแช่มโพกศีรษะไว้ก็ออกต่อต้านพวกอั้งยี่ พวกอั้งยี่ไม่สามารถทำร้ายชาวบ้าน ก็ถูกชาวบ้านไล่ฆ่าฟันแตกหนีไป ครั้งนี้เป็น ชัยชนะครั้งแรกของไทยชาวบ้านฉลอง ข่าวชนะศึกครั้งแรกของชาวบ้านฉลอง รู้ถึงชาวบ้านที่หลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่างพากลับมายังวัดฉลอง รับอาสาว่าถ้าพวกอั้งยี่มารบอีกก็จะต่อสู้ ขอให้หลวงพ่อแช่มจัดเครื่องคุ้มครองตัวให้ หลวงพ่อแช่มก็ทำผ้าประเจียดแจกจ่าย ให้คนละผืน พร้อมกับแจ้งแก่ชาวบ้านว่า "ข้าเป็นพระสงฆ์จะรบราฆ่าฟันกับใครไม่ได้ พวกสูจะรบก็คิดอ่านกันเอาเอง ข้าจะทำเครื่องคุณพระให้ไว้สำหรับป้องกันตัวเท่านั้น" ชาวบ้านเอาผ้าประเจียดซึ่งหลวงพ่อแช่มทำให้โพกศีรษะเป็นเครื่องหมายต่อต้านพวกอั้งยี่

          พวกอั้งยี่ให้ฉายาคนไทยชาวบ้านฉลองว่า พวกหัวขาว ยกพวกมาโจมตีคนไทยชาวบ้านฉลองหลายครั้ง ชาวบ้านถือเอากำแพง พระอุโบสถเป็นแนวป้องกัน อั้งยี่ไม่สามารถตีฝ่าเข้ามาได้ ภายหลังจัดเป็นกองทัพเป็นจำนวนพัน ตั้งแม่ทัพ นายกอง มีธงรบ ม้าล่อ เป็นเครื่องประโคมขณะรบกัน ยกทัพเข้าล้อมรอบกำแพงพระอุโบสถ ยิงปืน พุ่งแหลม พุ่งอีโต้ เข้ามาที่กำแพง เป็นที่น่าอัศจรรย์ ที่บรรดาชาวบ้านซึ่งได้เครื่องคุ้มกันตัวจากหลวงพ่อแช่มต่างก็แคล้วคลาดไม่ถูกอาวุธของพวกอั้งยี่เลย รบกันจนเที่ยงพวกอั้งยี่ยกธง ขอพักรบ ถอยไปพักกันใต้ร่มไม้หุงหาอาหาร ต้มข้าวต้มกินกัน ใครมีฝิ่นก็เอาฝิ่นออกมาสูบ อิ่มหนำสำราญแล้วก็นอนพักผ่อน ชาวบ้านแอบดูอยู่ในกำแพงโบสถ์ เห็นได้โอกาสในขณะที่พวกอั้งยี่เผลอก็ออกไปโจมตีบ้าง พวกอั้งยี่ไม่ทันรู้ตัวก็ล้มตายและแตกพ่ายไป หัวหน้าอั้งยี่ประกาศให้สินบนใครสามารถจับตัวหลวงพ่อแช่มวัดฉลองไปมอบตัวให้จะให้เงินถึง 5,000 เหรียญ

        เล่าลือกันทั่วไปในวงการอั้งยี่ว่า คนไทยชาวบ้านฉลองซึ่งได้รับผ้าประเจียดของหลวงพ่อแช่มโพกศีรษะ ล้วนแต่เป็นยักษ์มารคงทนต่ออาวุธ ไม่สามารถทำร้ายได้ ยกทัพมาตีกี่ครั้งๆ ก็ถูกตีโต้กลับไปในทุกครั้ง จนต้องเจรจาขอหย่าศึกยอมแพ้แก่ชาวบ้านศิษย์หลวงพ่อแช่ม โดยไม่มีเงื่อนไข

          คณะกรรมการเมืองภูเก็ต ได้ทำรายงานกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้คณะกรรมการเมืองนิมนต์หลวงพ่อแช่ม ให้เดินทางไปยังกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์ทรงปฏิสันฐานกับหลวงพ่อแช่มด้วยพระองค์เอง หลวงพ่อแช่มและคณะเดินทางถึงกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมฌศักดิ์หลวงพ่อแช่ม เป็น พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญานฌมุนี ให้มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อันเป็นตำแหน่งสุงสุดซึ่งบรรพชิตจักพึงมีในสมัยนั้น ในโอกาสเดียวกัน ทรงพระราชทานนามวัดฉลองเป็นวัดไชยาธาราราม



บารมีหลวงพ่อแช่ม

         จากคำบอกเล่าของคณะผู้ติดตามหลวงพ่อแช่มไปในครั้งนั้นแจ้งว่ามีพระสนมองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 5 ป่วยเป็นอัมพาต หลวงพ่อแช่มได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้รดตัวรักษา ปรากฏว่าอาการป่วยหายลงโดยเร็วสามารถลุกนั่งได้ อนึ่ง การเดินทางไปและกลับจากจังหวัดภูเก็ตกับ กรุงเทพมหานคร ผ่านวัดๆ หนึ่งในจังหวัดชุมพร หลวงพ่อแช่มและคณะได้เข้าพักระหว่างทาง ณ ศาลาหน้าวัด เจ้าอาวาสวัดนั้น นิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มเข้าไปพักในวัด แต่ หลวงพ่อเกรงใจและแจ้งว่าตั้งใจจะพักที่ศาลาหน้าวัดแล้วก็ขอพักที่เดิมเถิด เจ้าอาวาสและชาวบ้าน ในละแวกนั้นบอกว่า การพักที่ศาลาหน้าวัดอันตรายอาจเกิดพวกโจร จะมาลักเอาสิ่งของของหลวงพ่อแช่มและคณะไปหมด หลวงพ่อแช่มตอบว่า “เมื่อมันเอาไปได้ มันก็คงเอามาคืนได้” เจ้าอาวาสวัดและชาวบ้านอ้อนวอน หลวงพ่อแช่มก็คงยืนยันขอพักที่เดิม เล่าว่า ตกตอนดึก คืนนั้น โจรป่ารวม 6 คน เข้ามาล้อมศาลาไว้ ขณะคนอื่นๆ หลับหมดแล้ว คงเหลือแต่หลวงพ่อแช่มองค์เดียว พวกโจรเอื้อมเอาของไม่ถึง หลวงพ่อแช่มก็ช่วยผลักของให้สิ่งของส่วนมากบรรจุปี๊บใส่สาแหรก พวกโจรพอได้ของก็พากันขนเอาไป 

         รุ่งเช้าเจ้าอาวาสและชาวบ้านมาเยี่ยม ทราบเหตุที่เกิดขึ้นก็พากันไปตามกำนันนายบ้านมาเพื่อจะไปตามพวกโจร หลวงพ่อแช่มก็ห้าม มิให้ตามไป ต่อมาครู่หนึ่ง พวกโจรก็กลับมา แต่การกลับมาคราวนี้หัวหน้าโจรถูกหามกลับมาพร้อมกับสิ่งของซึ่งลักไปด้วย กำนันนายบ้าน ก็เข้าคุมตัว หัวหน้าโจรปวดท้องจุดเสียดร้องครางโอดโอย ทราบว่าระหว่างที่ขนของซึ่งพวกตนขโมยไปนั้น คล้ายมีเสียงบอกว่า ให้ส่งของกลับไปเสีย มิฉะนั้น จะเกิดอาเพทพวกโจรไม่เชื่อขนของต่อไปอีก หัวหน้าโจรจึงเกิดมีอาการจุกเสียดขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เลยปรึกษากันตกลงขนสิ่งของกลับมาคืนหลวง พ่อแช่มสั่งสอนว่า ต่อไปขอให้เลิกเป็นโจรอาการปวดก็หาย กำนันนายบ้านจะจับพวกโจร ส่งกรมการเมืองชุมพร แต่หลวงพ่อแช่มได้ขอร้องมิให้จับกุมขอให้ปล่อยตัวไป

         ไม่เพียงแต่ชนชาวไทยในภูเก็ตเท่านั้นที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อแช่ม ชาวจังหวัดใกล้เคียงตลอดจนชาวจังหวัดต่างๆ ในมาเลเซีย เช่น ชาวจังหวัดปีนัง เป็นต้นต่างให้ความเคารพนับถือในองค์หลวงพ่อแช่มเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะชาวพุทธในจังหวัดปีนัง ยกย่องหลวงพ่อแช่มเป็นเสมือนสังฆปาโมกข์เมืองปีนังด้วย

          การปราบอั้งยี่ในครั้งนั้น เมื่อพวกอั้งยี่แพ้ศึกแล้วก็หันมาเลื่อมใสให้ความเคารพนับถือต่อหลวงพ่อแช่มเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้ซึ่งนับถือ ศาสนาอื่นก็มีความเคารพเลื่อมใสต่อหลวงพ่อแช่ม เกิดเหตุอาเพทต่างๆ ในครัวเรือนต่างก็บนบานหลวงพ่อแช่มให้ช่วยขจัดปัดเป่าให้

          ชาวเรือพวกหนึ่งลงเรือพายออกไปหาปลาในทะเลถูกคลื่น และพายุกระหน่ำจนเรือจวนล่มต่างก็บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้คลื่นลมสงบ แต่คลื่นลมกลับรุนแรงขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งนึกถึงหลวงพ่อแช่มได้ ก็บนหลวงพ่อแช่มว่าขอให้หลวงพ่อแช่มบันดาลให้คลื่นลมสงบเถิด รอดตายกลับถึงบ้านจะติดทองที่ตัวหลวงพ่อแช่มคลื่นลมก็สงบ มาถึงบ้านก็นำทองคำเปลวไปหาหลวงพ่อแช่ม เล่าให้หลวงพ่อแช่ม ทราบและขอปิดทองที่ตัวท่าน หลวงพ่อแช่มบอกว่าท่านยังมีชีวิตอยู่จะปิดทองยังไง ให้ไปปิดทองที่พระพุทธรูป ชาวบ้านกลุ่มนั้น ก็บอกว่าถ้าหากหลวงพ่อไม่ให้ปิดหากแรงบนทำให้เกิดอาเพศอีก จะแก้อย่างไรในที่สุดหลวงพ่อแช่มก็จำต้องยอมให้ชาวบ้าน ปิดทองที่ตัวท่านโดยให้ปิดที่แขนและเท้า ชาวบ้านอื่นๆ ก็บนตามอย่างด้วยเป็นอันมาก พอหลวงพ่อแช่มออกจากวัดไปทำธุระในเมือง ชาวบ้านต่างก็นำทองคำเปลวรอคอยปิดที่หน้าแขนของหลวงพ่อแทบทุกบ้านเรือนจนถือเป็นธรรมเนียม เมื่อกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาจังหวัดภูเก็ตนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มไปหา ก็ยังทรงเห็นทองคำเปลวปิดอยู่ที่หน้าแข้งของหลวงพ่อแช่ม นับเป็นพระภิกษุองค์แรก
ของเมืองไทยที่ได้รับการปิดทองแก้บนทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่

         แม้แต่ไม้เท้าของหลวงพ่อแช่ม ซึ่งท่านถือประจำกายก็มีความขลัง ประวัติความขลังของไม้เท้ามีดังนี้ เด็กหญิงรุ่นสาวคนหนึ่ง เป็นคนชอบพูดอะไรแผลงๆ ครั้งหนึ่งเด็กหญิงคนนั้นเกิดปวดท้องจุดเสียดอย่างแรง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลา จึงบนหลวงพ่อแช่มว่า ขอให้อาการปวดท้องหายเถิด ถ้าหายแล้วจะนำทองไปปิดที่ของลับของหลวงพ่อแช่ม อาการปวดท้องก็หายไป เด็กหญิงคนนั้น เมื่อหายแล้วก็ไม่สนใจ ถือว่าพูดเล่นสนุกๆ ต่อมาอาการปวดท้องเกิดขึ้นมาอีก พ่อแม่สงสัยจะถูกแรงสินบนจึงปลอบถามเด็ก เด็กก็เล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จึงนำเด็กไปหาหลวงพ่อแช่มหลวงพ่อแช่มกล่าวว่าลูกมึงบนสัปดนอย่างนี้ใครจะให้ปิดทองอย่างนั้นได้ พ่อแม่เด็กต่างก็อ้อนวอนกลัวลูกจะตายเพราะไม่ได้แก้บน ในที่สุดหลวงพ่อแช่มคิดแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้โดยเอาไม้เท้านั่งทับ สอดเข้าให้เด็กหญิงคนนั้นปิดทองที่ปลายไม้เท้า กลับบ้านอาการปวดท้องจุดเสียดก็หายไป ไม้เท้านั่งทับของหลวงพ่อแช่มอันนี้ ยังคงมีอยู่ และใช้เป็นไม้สำหรับจี้เด็กๆ ที่เป็นไส้เลื่อน เป็นฝีเป็นปาน อาการเหล่านั้นก็หายไปหรือชะงัดการลุกลามต่อไป เป็นที่น่าประหลาด





ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
- ศูนย์พระดอทคอม คลังข้อมูลพระเครื่องออนไลน์
- phuketbulletin


เรื่อง กองบรรณาธิการ
ภาพ นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง

Read more

ท้าวเทพกระษัตรี




คำจารึกที่อนุสาวรีย์ฯโดยกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์

เมืองถลางปางพม่าล้อมลุยรัณ
รอดเพราะคุณหญิงจันรับสู้
ผัวพญาผิวอาสัญเสียก่อนก็ดี
เหลือแต่หญิงยังกู้เกียรติไว้ชัยเฉลิม
เริ่มรบรุกตลบต้านโจมตี
ทั้งสกัดตัดเสบียงทีดักด้าว
พม่าอดหมดพลังหนีจากเกาะกเจิงแฮ
กลศึกแพ้แม่ท้าวไม่ท้อโถมหนอ

        ไพร่พลมากมายดั่งน้ำในมหาสมุทรถึง 144,000 คนจัดเป็นทัพใหญ่ยกมาหมายโจมตีสยามประเทศในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 1 เป็นที่รู้จักกันดีในนามสงครามเก้าทัพ หัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตกถูกระดมตีด้วยแม่ทัพใหญ่ยี่หวุ่นคุมกำลัง 3,000 คนตั้งแต่เมืองกระตะกั่วป่าตะกั่วทุ่งค่ายปากพระโดยมีเป้าหมายที่เมืองถลางคลังของสยามประเทศ คราวนั้นเจ้าเมืองถลางเพิ่งเสียชีวิตลงชาวเมืองถลางระส่ำระสายต่อข้าศึก ดีว่าท่านผู้หญิงจันภริยาเจ้าเมืองถลางที่ถึงแก่กรรมและคุณมุกผู้เป็นน้องสาวกลับเป็นศูนย์รวมใจให้ปวงชนตั้งมั่นและเข้มแข็งโดยรวบรวมกำลังคนจากบ้านต่างๆเช่นบ้านในยางบ้านไม้ขาวบ้านดอนบ้านเหรียงฯลฯมาเตรียมการรบที่ค่ายรบข้างวัดพระนางสร้าง ส่วนฝั่งทุ่งนาพม่าก็มายึดสร้างค่ายตั้งประชิดไว้ จากความได้เปรียบด้านเสบียง และภูมิประเทศปืนใหญ่ที่ตั้งตรึงไว้หลายวันเป็นผลให้พม่าเริ่มขาดแคลนเสบียง
        
        ด้วยกลศึกที่วางแผนให้ผู้หญิงแต่งกายคล้ายทหาร เอาไม้ทองหลางมาเคลือบปลายด้วยดีบุกมาถือแทนอาวุธทำทีเป็นกำลังเสริมเดินขบวนเข้าเมืองถลางทุกคืน ทำให้กองทัพพม่าเข้าใจผิด การประจันหน้าครั้งนี้ใช้เวลาถึง 1 เดือนเศษกำลังพม่าทั้งอ่อนล้าและขาดเสบียงอาหารเมื่อพม่าตั้งพลเข้าโจมตีถูกฝ่ายเมืองถลางระดมยิงปืนเล็กปืนใหญ่นำเอาดินประสิวไปโปรยในกองทัพพม่ายิงคบเพลิงเข้าไปผสมตามยุทธวิธีพระพิรุณสังหารครั้นเมื่อชาวเมืองถลางยิงปืนใหญ่แม่นางกลางเมืองถูกต้นทองหลางหน้าค่ายพม่าหักลง กองทัพพม่าระส่ำระสายเสียขวัญและแตกทัพไปเมื่อวันจันทร์เดือน 4 แรม 14 ค่ำปีมะเส็งสัปตศกจุลศักราช1147 ตรงกับวันที่13 มีนาคมพ.ศ. 2328เป็นวันถลางชนะศึก

        หลังเสร็จจากการศึกแล้วเมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมบำเหน็จผู้ทำคุณแก่แผ่นดิน โดยให้ท่านผู้หญิงจันเป็นท้าวเทพกระษัตรีคุณมุกน้องสาวเป็นท้าวศรีสุนทร

        หากประมวลความเรื่องราวกับชีวิตความเป็นอยู่ของท่านท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร นั้นนัยว่าท่านเป็นผู้หญิงที่ต้องบากบั่นตรากตรำทำงานเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของบ้านเมืองตลอดมานับแต่การรับภาระชำระหนี้สินภาษีอากรส่งเข้าท้องพระคลังหลวงแทนพระยาถลางซึ่งส่งให้ไม่ครบอันเป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ต่อบ้านเมืองท่านมีความเฉลียวฉลาดเข้มแข็งเด็ดขาดสมกับที่เป็นเชื้อสายนักปกครองเมื่อมีภัยศึกท่านได้นำไพร่พลเข้าต่อสู้ด้วยกุศโลบายอันแยบยลจนได้รับชัยชนะข้าศึกปกป้องเมืองถลางไว้ได้ในยามที่บ้านเมืองขัดสนจากภัยของสงครามท่านก็ไม่ยอมย่อท้อต่อชีวิตนำชาวบ้านทำเหมืองดีบุกส่งขายเพื่อกอบกู้การเศรษฐกิจให้ไพร่พลชาวถลางมีความอยู่ดีกินดีขึ้นซึ่งวีรกรรมและผลงานของท่านนับเป็นแบบอย่างของหญิงไทยที่ได้รับยกย่องเป็นวีรสตรีเมืองถลาง

        พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในคราที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินประพาสภูเก็ตและทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ พ.ศ. 2452 ความตอนหนึ่งว่า
"... นึกขึ้นมาก็ต้องนึกชมว่าท้าวเทพกษัตรีนี้เป็นผู้หญิงคนเก่งคนหนึ่งผู้หญิงที่จะมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในตำนานของชาติเรามีน้อยนักสมควรแล้วที่จะมีอนุสาวรีย์ไว้ให้ระลึกถึงและจำได้ต่อไปชั่วกาลนาน ..."

        อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีตั้งอยู่ที่วงเวียนสี่แยกท่าเรือตำบลศรีสุนทรอำเภอถลางจังหวัดภูเก็ตสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2509

อ้างอิง
  1. อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม 9 ทัพ
  2. วิกิพีเดีย
  3. ท้าวเทพกระษัตรีวัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดภูเก็ต
  4. วีรสตรีไทยสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯเล่ม 21
  5. ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทรวีรสตรีแห่งเมืองถลางโดยนางสาวบุหลงศรีกนก
  6. จอมร้างบ้านเคียน
  7. ศึกถลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง



เรื่อง กองบรรณาธิการ
ภาพ นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง







Read more

ข้าวหมูย่างเมืองตรังรสเด็ด...ยกความอร่อยมาถึงเชียงใหม่

ข้าวหมูย่างทีเด็ดร้านต้นศรีตรัง จ.เชียงใหม่

        ร้านต้นศรีตรัง แค่ชื่อร้านก็คงไม่ต้องถามว่าต้นตอมาจากที่ไหนกันแล้วนะครับ ผมแวะเวียนไปฝากท้องอยู่เสมอถ้าผ่าไปทางสายแม่โจ้ ร้านต้นศรีตรังนี้หาไม่ยาก เพียงแค่เลี้ยวเข้าตลาดรวมโชคจากทางถนนแม้โจ้สายใหม่ ประมาณ 200 เมตรให้สังเกตุฝั่งขวามือเอาไว้ก็จะเจอ เมนูประจำที่มาแล้วต้องสั่งก็คือข้าวหมูย่าง ที่เป็นหมูย่างขึ้นชื่อสูตรเมืองตรัง หนังกรอบ เนื้อนุ่ม หรือจะเป็นข้าวขาหมู บะหมี่ อยากให้แวะลองไปชิมกันดูนะครับ เผื่อจะเป็นอีกหนึ่งร้านที่ปักหมุดไว้เวลาท้องร้อง


เรื่อง / ภาพ : นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

ความรู้สึก กับความเป็นจริง



เจ้าสุนัขตัวน้อยคู่นี้ผมบันทึกไว้ที่บักฮา เวียดนามเหนือ ภาพนี้อาจจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ความจริงแล้วนี่คือตลาดสด มีสุนัข แมว หมู เป็ด ไก่ ฯลฯ วางเรียงรายให้เลือกซื้อกลับบ้านเพื่อเป็นอาหาร เจ้าสองตัวนี้อยู่ในเข่งสายตาที่มองมาทำเอาช่างภาพที่ไปด้วยหลายๆ คนเบือนหน้าหนี สงสารก็สงสาร แต่จะทำอย่างไรได้ ผมเลือกที่จะบันทึกภาพนี้เก็บไว้ ก่อนแสงสุดท้ายของวันจะหมดลง

ภาพ : นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง

Read more

“เฝอ” ก๋วยเตี๋ยวชู้รัก...จากก้อมน้อยริมทางถึงภัตตาคารหรู




        ริมถนนที่หลวงพระบาง ข้างถนนเข้าปราสาทบันทายสรี ในตลาดสดของรัฐฉานเมืองลา แล้ววันนี้ก้อมน้อยตรงข้ามที่พักในย่าน Old Quarter เมืองฮานอยก็แออัดไปด้วยผู้คนทั้งเด็กวัยรุ่นจนถึงวัยผมเปลี่ยนสี ต่างก็กำลังนั่งก้มหน้าก้มตากับอาหารจานด่วนกันอย่างเอร็ดอร่อย 

        หลาย ๆ ที่ที่ไป พวกเราก็ได้ลองลิ้นชิมรสเจ้าอาหารยอดนิยมนี่มาทุกครั้ง แต่วันนี้ต้องบอกว่าขอนำมาเป็นประเด็นแนะนำเพราะความอร่อยแบบเป็นหนึ่งไม่มีสองของ เฝอ-ฮานอย ทำให้พวกเราต้องยกนิ้วให้อย่างไม่ลังเลกันเลย เฝอก็เหมือนอาหารแบบข้าวแกงบ้านเราคือหากินง่าย ราคาถูก ปรกติถ้าชาวเวียดนามอยู่บ้านก็จะกินข้าวเป็นอาหารหลัก แต่บางครั้งถ้าเบื่อทานข้าวที่บ้าน ก็มักจะออกมากินเฝอ ชาวเวียดนามเค้าก็เปรียบเจ้าเฝอนี้ว่าเป็นทางเลือก หรือชู้รัก แทนข้าวที่เหมือนกับภรรยาที่บ้าน เหมือนบอกเป็นนัยว่าเจ้าก๋วยเตี๋ยวธรรมดานี้นะ ถ้าเรารู้จักปรุงให้เผ็ดร้อน มันก็อร่อยเด็ดเหมือนกัน

        เฝอกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเราคงเป็นญาติกันแนบแน่นน่าดู แต่น้ำซุปกับเครื่องเคียงนี่ต่างกันไปเส้นของเค้าคล้ายเส้นเล็กแต่กว้างกว่า อาจเจอเส้นกลมคล้ายขนมจีนบ้างและก็มีทั้งเฝอเนื้อ หมู ไก่ ปลา เต้าหู้ หมูยอ และที่ทำให้หนุ่มสาวที่นี่หุ่นดีก็คือผักสดนานาชนิดที่จะเด็ดเอาแต่ยอดอ่อนมาแกล้ม บางเจ้าก็จะมีกะปิ สำหรับซอสปรุงรสเค้าจะใช้ซอสฮอยซิน คล้ายซอสถั่วเหลืองบ้านเราหอมกลมกล่อมดีมาก และซอสพริกศรีราชาช่วยเพิ่มรสชาติให้กับคนที่ชอบรสเผ็ด รสเปรี้ยวที่นี่เค้าแปลกไม่ได้ใช้มะนาวเหมือนบ้านเรา แต่เค้าใช้ส้มลูกเล็ก ๆ คล้ายส้มจี๊ดตัดปลายไว้ให้บีบใส่ แหมทั้งหอมแบบเปรี้ยวอมหวานเยี่ยมยอดมาก ส่วนน้ำซุปเค้าจะใช้กระดูกหมูส่วนขา กระดูกสันหลัง หางวัว หรือเนื้อวัว เนื้อไก่ มาเคี่ยวนานหลายชั่วโมงจนได้น้ำซุปรสกลมกล่อม ตัดกลิ่นด้วยเครื่องเทศชนิดต่าง ๆ เช่นหอมหัวใหญ่ กระเทียม เมล็ดดอกจัน ขิง กานพลู อบเชย ยี่หร่าอีกเล็กน้อย เรียกว่าซุปเค้านี่ผมแทบไม่ได้ปรุงเพิ่มเลย ร้านไหนร้านนั้นอร่อยทุกร้าน ยิ่งช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ น้ำซุปถูกเคี่ยวจนเข้าเนื้อยิ่งเด็ด 

         ใครจะเคยคิดว่าในอดีตการขายเฝอข้างถนนก็ผิดกฎหมาย ประมาณกลางทศวรรษ 1980 ก่อนปฏิรูประบบเศรษฐกิจ แผงลอยขายเฝอถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะราษฎรต้องรับข้าวกับเนื้อที่เป็นส่วนปันจากรัฐบาล คนขายเก่า ๆเล่าให้ฟังว่าต้องแอบขายกันหลังบ้านให้กับคนที่รู้จักเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของเวียดนามเราจะหาร้านเฝอได้ง่ายที่สุดทั้งแบบยอง ๆ เหลา จนถึงระดับภัตตาคาร ยิ่งทุกวันนี้มีร้าน เฝอ24 ที่ตีตลาดแบบแมคโดนัลที่เปิดสาขาให้บริการกันหลายสิบสาขาแล้ว ก่อนจะหมดพื้นที่หน้าขอกระซิบดัง ๆ ตรงนี้ว่า เฝอที่เวียดนามเหนืออร่อยที่สุดเท่าที่เคยชิมมาเลยครับ ใครมีโอกาสเดินทางมาถึงนี่ไม่ต้องกลัวว่าร้านเล็ก ๆ ข้างทางจะไม่อร่อย ผมรับประกันได้เลยว่าของเค้าดีจริง ๆ ครับ

เรื่อง / ภาพ : นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง

Read more

"อ๋าวไหย่" Vietnamese traditional costumes


"อ๋าวไหย่" Vietnamese traditional costumes

นักศึกษาสาวชาวเวียดนามในชุดอ๋าวไหย่

        ในใจลึก ๆ ประสาหนุ่มโสดที่มีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปต่างแดนโดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องชุดแต่งกายประจำชาติซึ่งมีเสน่ห์ สวยงาม เย้ายวน ทว่ามิดชิด จากคำเล่าขานหรือจะเท่าไปเห็นด้วยตาตัวเอง เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนเวียดนามถึงถิ่นพอเครื่องบินลงจอดที่สนามบินนอยไบสายตาผมก็สอดส่องเผื่อจะพบสาวในชุดอ๋าวไหย่ให้สมตั้งใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบซักที จนเดินทางเข้าเมืองฮานอยก็ต้องผิดหวังอีกคำรบใหญ่เพราะเพิ่งรู้ว่าเวียดนามเหนือเค้าจะไม่ใส่ชุดอ๋าวไหย่กัน ถ้าอยากเห็นต้องไปเวียดนามใต้โดยเฉพาะที่เมืองเว้ ด้วยความคาดหวังอันสูงส่งทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ไปในทริปนั้นต่างผิดหวังกันอย่างแรง เอาเป็นว่าเรามาดูวิวัฒนาการของชุดอ๋าวไหย่กันก่อนดีกว่า

        อ๋าวไหย่ ถ้าแปลตามความหมายก็คือชุดยาว แต่กว่าจะมาเป็นชุดยาวนี่ได้ก็ต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการคัดสรรทางการเวลากันมาพอควร เพราะแต่เดิมประมาณปี 1744 พระเจ้ามินหม่างแห่งราชวงศ์เหวียน ที่มีอำนาจอยู่ในเวียดนามกลางและใต้ ได้กำหนดให้แต่งกายแบบจีนคือให้ใส่กางเกงขายาวแทนกระโปรง เสื้อแหวกแบบผูกด้านหน้า โดยกำหนดจากชนชั้นทางสังคม และอาชีพของผู้สวมใส่ แต่ชุดสมัยโบราณผู้หญิงจะแต่งเป็นกระโปรงยาวไม่ใส่กางเกงซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็ยังสามารถพบเห็นได้ตามหมู่บ้านทางเวียดนามตอนเหนือ ที่ผมไปแถวซาปาก็ยังมีชาวบ้านที่มีอายุก็ยังนิยมแต่งกายแบบเดิมอยู่พอสมควร

        ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 1930 ก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเนื้อผ้าโดยให้ทันสมัยขึ้นจนมาเป็นชุดอ๋าวไหย่ทุกวันนี้ แต่ภายหลังการรวมชาติ และสงครามเวียดนามได้จบลงประเทศเวียดนามต้องประสบภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจไปทั่ว ชุดอ๋าวไหย่จึงกลายเป็นของสิ้นเปลืองต้องห่างหายไปชั่วคราว ต่อมาปลายปี 1980 เมื่อสภาพสังคม และเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ชุดประจำชาติชุดนี้ก็ได้กลับมารับความนิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะในเขตตอนใต้ของประเทศ

ชุดแต่งงานของชาวเวียดนาม

        ชุดอ๋าวไหย่มักจะใช้ผ้าเนื้อบางเบาเมื่อสวมใส่แล้วจะแนบไปกับสรีระของผู้ใส่ ซึ่งตลอดเวลาที่ผมเดินทางอยู่ในเวียดนามเรียกว่าแทบจะไม่เห็นคนอ้วนเลย หญิงสาวชาวเวียดนามเค้าดูแลตัวเองดีมาก ๆ ทั้งเรื่องอาหารการกินที่เน้นจำพวกผักเป็นหลัก ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สาวรุ่นที่นี่มีแต่รูปร่างดี ๆ สูงโปร่ง จนมีเรื่องเล่าว่า ในตอนใต้ของเวียดนามที่นักเรียนหญิงจะใส่ชุดอ๋าวไหย่หากวันใดฝนตกเราจะเห็นความสวยงามของสรีระร่างกาย ทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน จนบางครั้งพวกนักท่องเที่ยวจะมารอดูอยู่ที่หน้าโรงเรียนเลยก็มี แบบนี้ถ้าเป็นบ้านเราคงโดนตำรวจจับข้อหาโรคจิตแน่ ๆ เรื่องนี้จะจริงเท็จประการใดหากมีโอกาสไปเวียดนามใต้ผมก็จะขออาสาไปพิสูจน์ให้ก่อนละกันนะครับ
        แต่มาเวียดนามครั้งนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก เพราะวันสุดท้ายขณะที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่ที่วิหารวรรณกรรมกลางเมืองฮานอย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสาวน้อยในชุดอ๋าวไหย่กำลังถ่ายภาพเป็นที่สนุกสนาน จึงเดินเข้าไปถามได้ความว่าเป็นนักศึกษากำลังจะเรียนจบปีนี้เลยไปเช่าชุดกับเพื่อน ๆ มาถ่ายภาพกัน ผมก็เลยถือโอกาสขออนุญาตถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ช่างเป็นการปิดทริปเวียดนามได้ดั่งใจหวังจริง ๆ ครับ


เรื่อง / ภาพ : นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง



Vietnamese traditional costumes

        Young women wear light brown-colored short shirts with long black skirts. Their headgear consists of a black turban with a peak at the front. To make their waist look smaller, they tightly fasten a long piece of pink or violet cloth. On formal occasions, they wear a special three layered dress called an "ao dai", a long gown with slits on either side.

Over time, the traditional "ao dai" has gone through certain changes. Long gowns are now carefully tailored to fit the body of a Vietnamese woman. The two long slits along the side allow the gown to have two free floating panels in the front and at the back of the dress. The floating panels expose a long pair of white silk trousers.

In general, Vietnamese clothing is very diverse. Every ethnic group in Vietnam has its own style of clothing. Festivals are the occasion for all to wear their favorite clothes. Over thousands of years, the traditional clothing of all ethnic groups in Vietnam has changed, but each ethnic group has separately maintained their own characteristics.

http://www.vietnamtourism.com



Read more