About

ภูสอยดาว สายหมอก และดอกไม้

ดอกหวอนนาคจะบานสมบูรณ์ประมาณช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน
ภาพนี้ถ่ายด้วยเลนส์กระจกในระยะ Tele เพื่อให้มิติของภาพดูแน่น และคุณสมบัติของเลนส์กระจกที่ให้ส่วนที่พ้นระยะชัดมีโบเก้แบบวงโดนัทช่วยให้ภาพดูแตกต่างจากใช้เลนส์ Tele ทั่วไป Canon EOS 5D MKII Lens Minolta MD 250 f5.6 

อุตรดิตถ์หลายคนถามผมว่ามีอะไรเที่ยว หลังจากที่ผมบอกว่ามีทริปต้องไป นึกไปนึกมาผมเองก็เคยถามคำถามนี้มาก่อนเหมือนกัน ชัยภูมิมีทุ่งดอกกระเจียว อุบลมีทุ่งดอกดุสิตา เชียงใหม่มีนางพญาเสือโคร่ง แล้วที่เมืองลับแลแห่งนี้ล่ะ ถ้าเราพูดถึงจังหวัดอุตรดิตถ์เชื่อว่าหลายคนกลับนึกถึงเมืองลับแล เรื่องราวเล่าขานถึงตำนานเมืองลับแลในอดีต ที่เป็นเหมือนดินแดนในเทพนิยายไม่ใช่ใครๆ ก็จะสามารถเข้าออกได้โดยง่าย เล่ากันว่าคนที่มีบุญเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปในเมืองแห่งนี้ได้ มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปในป่าลึก ได้เห็นหญิงสาวหลายคนเดินออกมา นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมาต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็เดินหายลับไป แต่หญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ นางวิตกเดือดร้อนมากชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม
ชายหนุ่มเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางจึงอธิบายว่าคนที่นี่มีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านไปหมด ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรมไม่พูดเท็จ เวลาผ่านไปจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้านชายหนุ่มเลี้ยงบุตรอยู่บ้าน บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า แม่มาแล้วๆ ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ เขาจึงต้องออกจากหมู่บ้าน แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหาร พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็ชี้ทางให้ แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับ ระหว่างทางที่เดินไปนั้นเขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ จึงเอาขมิ้นทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม จึงหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำ ชายหนุ่มจึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว 


ทิวเขา และสายหมอก
ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิวบนภูสอยดาว ใช้เลนส์ช่วง Tele เพื่อดึงภาพให้แน่นขึ้น การถ่ายภาพลักษณะนี้แนะนำให้ใช้ White Balance แบบ Daylight เพื่อเก็บสีของแสงจริงในช่วงเวลานั้น Canon EOS 5DMKII Lens EF70-200 f2.8L IS

แต่คราวนี้เราไม่ได้เดินทางไปตามหาสาวกับเมืองในตำนานนะครับ เราไปตามหาลานสนบนดอยสูงลูกหนึ่งที่เป็นเส้นแบ่งเขต ไทย-ลาว ได้ยินว่ามีทุ่งดอกไม้สีม่วงงามตาจะชูช่องามในช่วงวสันตฤดู แล้วยังสำทับมาอีกว่า ที่นี่เป็นเป็นทุ่งดอกไม้ที่กว้างใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ 

การเดินทางของผมเริ่มขึ้นจากเส้นทางเชียงใหม่-ลำปาง แล้วเลี้ยวไปทางแพร่-เด่นชัย ข้ามเขาอีกหลายลูกก็เข้าเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ ช่วงที่ไปมีฝนโปรยมาตลอดทางให้ผมต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางมากขึ้นกว่าเดิม ไหนจะถนนลื่น แล้วทัศนวิสัยยังไม่ค่อยดีอีกด้วย แต่เราก็มาถึงแยกที่จะเลี้ยวไปน้ำตกชาติตระการ-ภูสอยดาวอย่างปลอดภัย ฟ้ามืดลงแล้ววันพรุ่งนี้เรานัดเจอทีมงาน และสมาชิกจากอนุสาร อสท. อีกกว่า 50 ชีวิตที่จะร่วมเดินทางสู่ยอดภูสอยดาว ทริปนี้คล้ายๆ จะเป็น Photo Trip ย่อมๆ เพราะแต่ละคนที่มาก็จะพกกล้องมาด้วยไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR หรือ Compact 


ความสดชื่นของผืนป่าฤดูฝน
ดอกเทียนสีม่วงสดที่บานอยู่ริมทาง ผมต้องการเก็บภาพนี้ห้เล่าเรื่่องราวถึงคนเดินทางด้วย จึงเลือกใช้เลนส์ช่วงมุมกว้างเพื่อเก็บภาพให้กว้างกว่าตาเห็น และเข้าไปใกล้ดอกเทียนซึ่งมีขนาดเล็ก โดยใช้รูรับแสงกว้างเพื่อควบคุมให้ภาพมีระยะชัดลึกน้อย คนเดินทางที่เป็นตัวประกอบเรื่องจึงอยู่นอกระยะชัด ส่งผลให้ไม่มาดึงความสนใจของดอกเทียนที่ผมต้องการให้เป็น Subject หลักในภาพ Canon EOS 5DMKII Lens Canon EF16-35 f2.8L

บนหนทางไกล
เสื้อกันฝนหลากสีถูกคลี่ออกมาคลุมตัว ดูเหมือนตุ๊กตาสีหวานเดินกันเต็มลานหน้าน้ำตกภูสอยดาว เช้านี้แสงเช้าไม่มาตามนัด แต่กลับส่งสายฝนโปรยต้อนรับทีมงานเราอย่างชุ่มฉ่ำแทน นึกถึงเวลาที่ใกล้จะต้องเดินทางก็ขอให้ซาเม็ดลงบ้าง เผื่อเส้นทางชันเบื้องหน้าจะยินยอมลดความลื่นลงพอให้ไม่หนักมือเก่ามือใหม่จนเกินไป

“เอ้า...กลุ่มสี่มาถ่ายรูปรวมกัน” เสียงน้องเตียงสาวน้อยอารมณ์ดีเรียกสมาชิกกลุ่มมายืนเรียงหน้าป้ายน้ำตกบันทึกภาพตอนสภาพยังดีก่อนออกเดินทาง ซึ่งสภาพแบบนี้จนวันกลับไม่รู้จะมีอีกรึเปล่า เราเดินเลียบน้ำตกไปเรื่อยๆ ข้ามธารน้ำที่กำลังเชี่ยวตามฤดูกาลของมัน ทางเดินแคบเลาะไปตามผืนป่าอันอุดม ไม้ใหญ่สองข้างทางบางครั้งแค่ลับโค้งทางเดินไม่ไกลก็ไม่สามารถเห็นคนหน้าแล้ว เห็ดขอนขึ้นอยู่ทั่วไปบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี บนตอไม้ล้มข้างทางดอกเทียนออกดอกชูช่อรอให้นักเดินทางได้เก็บความประทับใจ 



กลุ่มเราทั้งแปดคน พร้อมทีมงานประจำกลุ่มอีกสามรวมทั้งผมด้วยเดินคุยกันไปไม่ทันเหนื่อยดีก็เริ่มเห็นป่าไผ่ และเนินแรกที่เราต้องพิชิตไปให้ได้...เนินส่งญาติ แค่ชื่อเนินที่เห็นก็แทบทำเอาพวกเราถอดใจไปตามๆ กัน ทั้งเห็นความชันด้วยแล้วเสียงคุยเจื้อยแจ้วเมื่อซักครู่ก็เงียบสนิท กว่าจะผ่านเนินแรกมาได้หัวใจก็แทบจะออกมาเต้นอยู่ข้างนอก พอมาเห็นชื่อเนินที่สอง...เนินปราบเซียน ก็ไม่เข้าใจว่าใครมาตั้งชื่อไว้ให้เป็นกำลังใจกันดีเหลือเกิน ผมเองใจชื้นขึ้นหน่อยก็เพราะไอ้เราไม่ใช่เซียน อย่างมากก็คงพักบ่อยหน่อยเท่านั้นเอง และแล้วเราก็มาถึงเนินป่าก่อ เป็นผืนป่าดิบเขาด้วยผลจากต้นก่อบางชนิดเราสามารถนำมากินได้ และยังมีประโยชน์สูงอีกด้วย ที่บ้านเราเรียก ต้นก่อ แต่ถ้าเป็นไม้ชนิดเดียวกันในต่างประเทศจะเรียกว่า ต้นโอ๊ก นั่นเอง เมื่อมาถึงเนินป่าก่อก็ดีใจได้ว่าเราเดินมาประมาณครึ่งทางแล้ว เนินต่อไปคือเนินเสือโคร่ง ชื่อเนินก็ตีความได้ 2 อย่างคือเสือที่เป็นสัตว์ หรือเสือที่เป็นพืชพวกเราก็ขอให้เป็นพืชละกัน เพราะถ้าเจอตัวเป็นๆ อย่าว่าแต่จะวิ่งหนีเลย คงพร้อมใจนั่งมันตรงนั้นให้คุณเสือเค้าเดินมาเลือกกินได้ตามใจชอบเพราะแค่นี้ก็จะหมดแรงกันอยู่แล้ว ดีที่เนินแห่งนี้ตั้งชื่อตามไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อ กำลังเสือโคร่ง ซึ่งถือเป็นยาสมุนไพรเปลือกมีกลิ่นคล้ายการบูรช่วยเจริญอาหาร ขับลม บำรุงเส้นเอ็น แก้ปวดเมื่อย ชาวบ้านจึงถากเปลือกไปต้มยาอยู่บ่อยๆ แต่บางครั้งถากมากเกินจนเหลือแต่แก่นไม่มีทางลำเลียงอาหารไปเลี้ยงต้นต้องยืนต้นตายก็มี
สายหมอกงามกับต้นก่อที่ขึ้นเรียงกันสวยงามในม่านหมอก
ภาพนี้ต้องการเก็บบรรยากาศการเดินทางจึงเลือกใช้เลนส์มุมกว้าง และในภาพมีหมอกซึ่งเป็นโทนสีขาว จึงต้องชดเชยกล้องให้โอเวอร์ประมาณ 1 stop Canon EOS 5 DMKII Lens EF16-35 f2.8L

เบื้องหน้าของเราก็คือเนินสุดท้าย...เนินมรณะ ใครคิดชื่อ อยากจะเดินไปถามจริงๆ ก็หนทางเล่นชันดิ่วไปแบบเห็นยอดกับทางเป็นเส้นท่าจะหายใจกันหลายหอบกว่าจะถึงลานสน ว่าแล้วพวกเราก็ต้องก้มหน้าเดินไปตามยถากรรม อุปกรณ์กล้องบนหลังทำให้นึกถึงตำนานเมืองลับแลที่แบกขมิ้นมากลางป่าพอหนักก็โยนทิ้ง แต่ถึงบ้านแล้วกลายเป็นทอง กล้องในกระเป๋าเราถ้าไปถึงยอดแล้วกลายเป็นทองก็ท่าจะดี แต่นี่จะทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ยิ่งเดินก็ยิ่งหนัก ก้าวแรกที่มาถึงสันเนิน ดอกแตรวง หรือลิลลี่เมืองไทยก็อวดโฉมให้ชื่นตาอยู่ไม่ไกลเดินมาอีกนิดเจ้าว่านไก่แดงก็รอต้อนรับอยู่บนคบไม้ให้ชื่นใจ พ้นเนินสุดท้ายทิวสนที่โอบอุ้มอยู่รอบตัวเหมือนกรอบภาพงามขับให้ดอกหงอนนาคที่ชูช่อม่วงงามอร่ามทั้งทุ่งสวยเด่นยิ่งกว่าคำล่ำลือ สายลมที่พัดปลิวเหมือนให้ผมโยนความเหนื่อยของระยะทางกว่า 6 กิโลเมตรทิ้งไปแบบไม่ใยดี

เราเดินผ่านกลางทุ่งหงอนนาคเพื่อไปยังจุดพักแรมบ้างก็หยุดถ่ายภาพหมู่บ้างเดี่ยวบ้างกันตามสบายเพราะเรามาถึงลานสนแห่งนี้เลยเวลาช่วงตะวันตรงหัวไปไม่นาน การเดินทางครั้งนี้เราได้ทีมงานมืออาชีพจาก นักเดินทาง.คอม (www.nakderntang.com) มาคอยดูแลเรื่องความสะดวกต่างๆ ทั้งที่พัก อุปกรณ์ส่วนกลาง รวมทั้งอาหารการกิน เรียกว่าได้มืออาชีพมาจัดการ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายภาพกันได้ทั้งวันแบบท้องอิ่มนอนอุ่น สุขใดจะเท่าบนลานดอกไม้สวยๆ แห่งนี้
การถ่ายภาพน้ำตกเราสามารถใช้ได้ทั้งความเร็วชัตเตอร์ต่ำเพื่อให้สายน้ำดูนุ่มนวล หรือจะใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงเพื่อให้สายน้ำดูรุนแรงก็ได้ แต่ในภาพนี้ผมเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำเพราะอยากได้ภาพที่ดูอบอุ่นนุ่มนวล และเลือกที่จะให้เพื่อนไปนั่งอยู่มุมซ้ายด้านบน เพื่อให้ภาพนี้ดูมีชีวิต และเรื่องราวมากขึ้น Canon EOS 5 DMKII Lens 16-35 f2.8L + PL

บนหินสวย และน้ำใส
แทบไม่น่าเชื่อว่ามื้อค่ำเมื่อวานเรานั่งสังสรรค์กันรอบวงหมูกระทะกลางป่าสนภูสอยดาวด้วยความสามารถของทีมนักเดินทางดอทคอมที่ช่วยให้เราอิ่มอร่อยเป็นพิเศษ หลังอาหารเช้ามื้อนี้เราเลยพร้อมใช้พลังงานเต็มที่ด้วยการไปเดินชมน้ำตกสายทิพย์กัน เราเดินกันจากที่พักไม่นานก็ถึงทางแยกลงไปน้ำตก ทางเดินค่อนข้างชัน แต่เดินไม่ยากแต่ถ้าฝนตกก็คงมีลื่นกันบ้างแน่นอน เราเดินแถวตอนเรียงหนึ่งไปอย่างเป็นระเบียบ เพราะทางค่อนข้างแคบ เผลอไม่นานเราก็มายืนอยู่หน้าน้ำตกชั้นแรก หินก้อนเล็กก้อนน้อยที่เขียวสดไปด้วยตะไคร่น้ำ สายน้ำตกที่ลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้น อิงแอบกับผืนป่าใหญ่ น้ำเย็นเฉียบที่เราวักมาลูบหน้าจากสายน้ำตกขนาดเล็กแต่น่ารักกลางลำนำแห่งขุนเขาเรียกว่าเล็กๆ แต่มากด้วยความสวยงาม แต่ละชั้นของความลึกที่เพิ่มขึ้นความสวยงามก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เสียงชัตเตอร์ดังระงมตามลานหินใหญ่น้อย แข่งกับเสียงน้ำที่เซาะโตรกหินเขียวชอุ่ม ความสวยงามที่บันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม และการ์ดดิจิตอลยังไม่เท่าความสดชื่นที่ได้รับ 


น้ำตกขนาดเล็ก แต่สวยงามมากในช่วงฤดูฝน
ภาพนี้ผมถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เลือกครอปเฉพาะมุมเพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น Hasselblad 500cm Lens 150mm f4 Film Fuji Velvia50

เราขึ้นมาจากน้ำตกก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว เวลาที่เหลือของวันก็หมดไปกับทุ่งดอกไม้ และจุดชมวิว การมาเที่ยวป่าหน้าฝนก็เหมือนกับเราได้มาดูความสดใสของฤดูแห่งความสมบูรณ์ พืชพรรณต่างๆ ได้รับการฟูมฟัก และฟื้นตัวอย่างเต็มที่ หลายอุทยานถือโอกาสช่วงฤดูฝนปิดตัวลงเพื่อให้พื้นที่ได้ฟื้นตัวอีกครั้ง แต่สำหรับภูสอยดาวช่วงที่ดอกไม้จะบานเต็มทุ่งก็เริ่มตั้งแต่ประมาณปลายเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป และจะผลัดเปลี่ยนกันไปจนย่างเข้าฤดูหนาว การมาเที่ยวชมก็จึงหนีไม่พ้นช่วงกลางฤดูฝนเช่นนี้


เต๊นท์นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่กางท้าไอหมอกที่เริ่มก่อตัวคู่กับความหนาวเย็นของค่ำคืน

ปลายฟ้าเริ่มห่อคลุมด้วยความมืดมิดอีกครั้ง เมฆตีจากชายฟ้าให้หวิวใจในวันพรุ่งว่าจะได้ฟ้าใสแดดสวย หรือจะปกคลุมด้วยม่านฝน และสายหมอก วงสนทนาจากเพื่อนมิตรเริ่มจางเสียงลงตามเข็มนาฬิกา ปล่อยให้ราตรีนี้เริ่มต้นหลังจากม่านตาที่ปิดลง



ในวันที่ฝนพรำ

        หากฤดูกาลไม่มีผันเปลี่ยน เชื่อว่าความหลากหลายทางชีวภาพก็คงไม่ต่างกับทะเลทราย เช้านี้หมอกฝนลอยอ้อยอิ่งแนบตัวคล้ายผ้าห่มผืนบางให้หนาวกายแต่อุ่นใจ เตาแก๊สขนาดพกพาถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แข่งกับแสงที่ยังไม่ช่วยให้มองเห็นลายมือชัดนัก กาน้ำร้อนที่เดือดพร่างเร่งให้เราอุ้มถ้วยสแตนเลสมาผิงมือ แม้ไม่หนาวหนักเหมือนหน้าหนาว แต่ก็พอให้รับรู้ถึงคุณค่าของเสื้อกันหนาวตัวเก่าที่ไม่เคยห่างจากเป้เดินทาง

ผมมากางเต็นท์ห่างจากแคมป์พักแรมของชาวคณะ อสท. ไม่ไกลนัก เพียงข้ามลำห้วยน้อยที่เมื่อวานน้ำยังเซาะตลิ่งไม่สูงนัก สะพานไม้แคบๆ ที่พาเราข้ามมายังเหลือพื้นที่อีกกว่าฟุตก่อนจะถึงน้ำ อาหารเช้าวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปลาทูทอด กับน้ำพริกแมงดา แกล้มลูกสะตอสด อาหารรสเด็ดจากแดนใต้ แต่มากินที่ยอดดอยสูงทางเหนือนี่ก็ให้รสชาติที่อร่อยลิ้นไปอีกแบบ กับเจ๊แมวเจ้าแห่งตู้เสบียงเคลื่อนที่ ถ้าทริปไหนมีเจ๊ไปด้วยขอบอกเลยว่าไม่มีอด แถมอร่อยอีกต่างหาก

วันนี้ทีม อสท. ว่าจะไปเดินชมทุ่งหงอนนาคที่กำลังบานสะพรั่งทางฝั่งชายแดนไทย-ลาว พูดซะเหมือนต้องเดินทางไกล แต่เปล่าเลยครับ จากที่พักไปไม่เกิน 500 เมตรเราก็มาถึงหลักเขตแดน ไทย-ลาว ให้ถ่ายภาพเล่นกันอย่างจุใจแล้ว แต่ฟ้าวันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยจะเป็นใจ ฝนเริ่มโปรยปรายมาจางเม็ด ทีมงานใส่เสื้อกันฝนกันเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มออกเดิน แต่ไปยังไม่ถึงไหนฝนก็ตงมาห่าใหญ่แบบไม่ลืมหูลืมตา ตอนแรกก็นึกว่าจะปรอยๆ พอให้ไปถ่ายมิวสิคกันได้ แต่กลายเป็นต้องหาที่หลบฝนกันจ้าหละหวั่น 

ซักพักใหญ่ๆ ดูท่าฝนจะไม่ยอมหยุดตก ตรงที่กางเต็นท์ก็ทำท่าเหมือนจะอยู่กลางธารน้ำ แม้ว่าเราจะทำร่องระบายน้ำไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา หลายแรงแข็งขันแข่งกับฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง พวกเราช่วยกันขุดร่องน้ำเพิ่ม อีกเสียงก็ตะโกนมาจากฝั่งสะพานที่เราเดินข้ามไปมาว่า “น้ำท่วมสะพานแล้ว” ต่างคนก็ต่างช่วยกันแบ่งไปยืนเป็นหลักเพื่อคอยช่วยประคองคนที่ต้องการจะข้าม ทุลักทุเลกันพอสมควร แต่ก็สนุกสนานกันกลางสายฝนที่ยังตกมาแบบไม่ยอมซาเม็ด หากใครไม่เคยออกจากห้องแอร์คงไม่รู้ว่าพวกนี้เค้าไปทำอะไรกันในป่าในเขาให้เหนื่อยยากสังขาร แต่คนที่เคยสัมผัสกลิ่นหมอก ได้ผิงไอแดดจากแสงแรกแห่งวัน ที่แม้จะเป็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน แต่ความต่างของความรู้สึกเชื่อว่าคงยากที่จะเปรียบกัน
เย็นวันนั้น
ธรรมชาติไม่เคยโหดร้ายกับเราตลอดเวลา หากแต่บางครั้งก็ให้รางวัลกับคนที่พร้อมที่จะรอ เมื่อฝนซาเม็ดเมื่อตะวันบ่ายสายหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียกลีบดอกบางที่ช้ำฝน พวกเราสาวเท้าไปตามทางเดิม เห็นหลักแบ่งเขตไทย-ลาวอยู่ไม่ไกล แถวนี้ดอกหงอนนาค และดอกเอนอ้าบานเต็มทุ่งมากกว่าลานสนบริเวณที่พัก พวกเราแต่ละกลุ่มเริ่มวาดลวดลายโพสท่ากันท่ามกลางหมู่พฤกษาสนุกสนานทั้งคนถ่ายภาพ และคนถูกถ่าย บ้างก็ไปปลีกวิเวกขลุกกับดอกไม้สวยๆ ยามฉ่ำฝน 

เราเดินลัดเลาะกันไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางเพื่อให้มาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกทันช่วงเย็น แม้ว่าแสงจะไม่ค่อยมีเพราะเมฆบางๆ คลุมหมอกอยู่ทั่วฟ้า แต่ที่ชายเขาเบื้องหน้ากลับเปิดเป็นช่อง เราก็ได้แต่หวังให้ลมพัดพาเจ้าเมฆก้อนนี้ให้ห่างออกไปซักหน่อย เพื่อวันสุดท้ายนี้จะได้ชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างใจหวัง 

กล้องที่หยิบออกจากกระเป๋า ณ จุดชมวิวเวลานี้คงเป็นรางวัลสำหรับความพยามยาม เพราะเบื้องหน้าคือแสงสุดท้ายของวันที่สาดส่องออกมาจากชายเมฆ ฤดูนี้หากจังหวะไม่เป็นใจเราอาจไม่ได้เห็นอะไรนอกจากฝนกับฝน แต่หากสภาพอากาศเป็นใจ ฟ้าหลังฝนก็มักสวยงามเสมอ


ภาพแนวนี้ควรจัดองค์ประกอบให้ส่วนทิวเขาด้านล่างที่ค่อนข้างมืด หรืออาจเป็นเงาดำให้มีอัตราส่วนประมาณ 1ใน 3 ของภาพ และมุมนี้เป็นมุมย้อนแสงจึงต้องชดเชยกล้องให้โอเวอร์ประมาณ 1.5 stop ภาพนี้ผมใช้ฟิลเตอร์ Lee Graduate สีเทาเพื่อช่วยลดแสงจากท้องฟ้าด้านบนลงด้วย



เสียงแจ้วๆ ของสาวๆ ทีมงานนักเดินทางดอทคอมทำเอาพวกเราหันไปมองเป็นตาเดียวกัน “มันต้มขิงร้อนๆ จ้า” ใครจะคิดว่าริมหน้าผาเวลาลมหนาวพัดมาแต่เรามีมันต้มขิงมาบรรเทาความเย็นของอากาศแบบถึงที่ถึงชายผา คนละตักสองตักไม่ได้ทำให้อิ่มได้ แต่สิ่งที่เราได้คือประทับใจในความรอบคอบ และความเป็นมืออาชีพของทีมงานนั่นเอง
เคยบ้างไหม
เคยบ้างไหมถ้าเรานั่งนึกถึงวันเวลาที่มีความสุขว่าทำไมมันช่างผ่านไปรวดเร็วนัก แต่เวลาที่เราต้องนั่งหลังแข็งอยู่ที่โต๊ะทำงานมันช่างช้าซะเหลือเกิน คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายบนดอยแห่งนี้ พรุ่งนี้ก็จะเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ ไปตามรายทางที่เมื่อสามวันก่อนเราได้ย่ำผ่านมา บนเส้นทางของสายหมอก และดอกไม้ 
แสงสุดท้ายที่เราแทบมองไม่เห็น
แสงสุดท้ายของวันที่เราแทบมองไม่เห็น ภาพนี้ผมเก็บภาพเกือบหนึ่งนาที และใช้ฟิลเตอร์ Lee Graduate สีเทาร่วมด้วย เพื่อลดแสงจากท้องฟ้า ให้เห็นสายหมอกที่เริ่มก่อตัวเรี่ยดิน Canon EOS 5 DMKII EF 16-35 f2.8L 

การเดินทางมาท่องเที่ยวบนลานสนภูสอยดาวนี้ คือส่วนหนึ่งของอุทยาแห่งชาติภูสอยดาว แต่ไม่ใช่ขึ้นยอดภูสอยดาว ยอดภูสอยดาวคือยอดที่เห็นอยู่ในม่านหมอกเบื้องหน้า ที่มีความสูง 2,102 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับสี่ของประเทศรองจาก ดอยอินทนนท์ ดอยผ้าห่มปก และดอยหลวงเชียงดาว




ขอขอบคุณ
1.  ทีมงานนักเดินทางดอทคอม  www.nakderntang.com
2.  ทีมงานอนุสาร อสท.
3.  ตำนานเมืองลับแล  www.baanmaha.com

เรื่อง :  นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง
ภาพ :  นันทพัฒน์  สุรสิงห์โตทอง




One Response so far.

  1. อ้าว มีอย่างงี้ด้วยเหรอ

Leave a Reply